Lumpoo-BangKraSorb

Lumpoo-BangKraSorb

ข้อมูลต้นไม้ลำพูบางกระสอบ

ลำพู


ลำพู (อังกฤษ: Cork tree, Mangrove apple) เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางในวงศ์ Sonneratiaceae พบทั่วไปตามดินเลนริมแม่น้ำหรือคลอง ที่มีระดับน้ำขึ้นน้ำลงท่วมถึง ขึ้นได้ทั้งในน้ำจืดหรือน้ำกร่อย
ลำพูมีลักษณะเรือนยอดเป็นทรงพุ่ม ลำต้นเป็นแบบ Pettis's model มีการเจริญติดต่อกันไป ลำต้นค่อนข้างกลมมีกิ่งเกิดในแนวตั้ง เจริญทางด้านข้างมากกว่าทางยอดเมื่อลำต้นแตกหักจะสร้างกิ่งใหม่ขึ้นได้เนื่องจากมีตาสำรองอยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวขนาดเล็ก สีเขียว ขอบใบเรียบแตกใบตรงกันข้ามกันเป็นคู่ มีก้านใบสีชมพูมองเห็นแต่ไกล ดอกเป็นดอกเดี่ยวออกบริเวณปลายยอด ลักษณะผลแก่มีเปลือกหนาสีเขียวอมเหลือง เนื้ออ่อนนุ่ม ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก ประมาณ 1000 ถึง 2500 เมล็ดผลลำพูแก่มีกลิ่นแรง จะร่วงหล่นระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน เป็นพืชที่รับประทานได้ ดอกนำไปแกงส้ม หรือใช้เป็นผักสด รับประทานกับขนมจีน ลำพูไม่มีรากแก้ว จะเกิดรากแผ่กระจายไปด้านข้างขนานกับผิวดินตื้นๆ และมีรากเล็กๆ แตกแขนงทางด้านล่างทำหน้าที่ยึดเกาะ และมีรากฝอยอีกชั้นทำหน้าที่ดูดซึมน้ำและสารอาหาร ลำพูยังมีรากพิเศษช่วยในการหายใจ ลักษณะรูปกรวยแหลมยาวแทงโผล่พื้นดินรอบโคนต้น มีความยาวประมาณ 10-50 ซม. ใหญ่และยาวกว่าไม้ชนิดอื่น รากหายใจ (pneumatophore) ของลำพูนี้เจริญได้รวดเร็ว และทนทานน้ำท่วมได้เป็นเวลานาน
ลำพูเป็นไม้ที่หิงห้อยชอบที่จะมาเกาะ ทำให้เกิดความสวยงาม โดยเฉพาะในยามค่ำคืน
การดำรงพันธุ์ ของลำพู... (เพิ่มเติม)..



ดอกลำพู สีชมพู ดอกลำพูสีขาว

ทันทีที่เส้นสายดอกลำพูร่วงหมด จะเห็นผลอ่อนของลำพู สีเหลืองอ่อนอยู่ภายใน


ผลลำพูเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว และค่อย ๆ โตขึ้นพร้อมกับก้านชูอับเรณูเรี่มเหี่ยวลง



ผลสีเขียวเริ่มโตขึ้นพร้อมกับกลีบเลี้ยงที่ค่อย ๆ ขยายแผ่ออก




ก้านชูอับเรณูเหี่ยวแห้งไปตามการเติบโตของผลลำพู






ผลลำพูที่สมบูรณ์ กลีบเลี้ยงขยายแผ่ออกบานเต็มที่









ผลลำพูผ่าครึ่งผล





ภายในเนื้อของผลลำพู จะมองเห็นเมล็ดเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก











เมื่อผลลำพูสุกร่วงลงพื้นดิน เมล็ดจะปริออกจากผล เป็นเมล็ดเล็ก ๆ มากมาย รอเวลาที่เหมาะสม ก็จะมีต้นอ่อนงอกขึ้น พลอยโพยมทดลองเอาผลลำพูที่ใกล้แก่ใส่กระถางดินใส่น้ำแฉะ ๆ ไว้ นานเกือบเดือนกว่าผลจะปริเปื่อยไป มีเมล็ดเล็ก ๆ ลอยน้ำอยู่ และผลิใบเขียว ๆ งอกต้นอ่อน และค่อย ๆ เจริญเติบโต เมื่อฝนตกต้นอ่อนที่ยังไม่หยั่งรากลงดินก็ลอยน้ำอย่างในภาพ จนน้ำในกระถางแห้ง ซึ่งบางครั้งสองสัปดาห์น้ำจึงจะแห้ง ต้นอ่อนก็จะยึดพื้นดิน ดังต้นล่างสุด ต้นที่ยังเกาะดินไม่ได้ ก็ลอยน้ำทั้งต้นทั้งราก ไม่เน่าเสียเติบโตไปเรื่อย ๆ พอดินแห้งก็หยั่งรากลงดิน แม้แต่ต้นที่หยั่งรากตั้งต้นบนพื้นดินได้ ก็สามารถจมอยู่ใต้น้ำโดยเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ


มีต้นลำพูสองต้นที่มีรากยึดดินได้ มีหนึ่งต้นที่รากยังลงดินไม่ได้ นอนพังพาบรอเวลาอยู่

ลำพูอ่อนสามต้นนี้มาจากลำพูผลเดียวกัน แต่ขนาดของต้น ก็ห่างไกลกัน ส่วนต้นอ่อนอื่น ๆ เมื่อฝนตกน้ำล้นกระถางก็พากันลอยออกมานอกกระถาง แห้งตายไปก่อน และยังมีจุดเขียว เล็ก ๆ ที่กำลังจะงอกเป็นต้นลำพูอีกบนพื้นดิน


ตามธรรมชาติเมื่อผลลำพูสุกเต็มที่ก็จะร่วงหล่นลงมา ใช้เวลาหลายวันที่ผิวของผลลำพู เริ่มปริและแตกออกมา เมล็ดเล็ก ๆ ก็จะงอกลำต้นออกมาแพร่พันธุ์ให้ลำพู เมล็ดเหล่านี้เมื่อแก่จะลอยน้ำได้ ซึ่งตัวผลลำพูเองก็ลอยน้ำไปไกลจากต้นเดิม และเมล็ดแก่ของลำพู ก็ลอยออกไปไกลจากผลเดิมด้วย ลำพูจึงแพร่พันธุ์ง่ายมาก

ต้นลำพูริมชายฝั่งแม่น้ำ ต้องต้านทานกระแสน้ำได้ รากต้องยึดกับดินแน่นเพื่อไม่ให้ลำต้นหลุดจากพื้นเลนลอยไปกับกระแสน้ำ มหัศจรรย์ ลำพู จริง ๆ



ต้นลำพูบนดินเลน


แนวต้นลำพูชายฝั่งบางปะกงที่ศูนย์วิจัยแลพัฒนาชายฝั่งฉะเชิงเทรา เป็นแนวลำพูจากการจัดสรรให้เป็นลำพูล้วน ๆ

ต้นลำพูที่เติบโตขึ้นมาเองตามธรรมชาติตามริมชายฝั่งแม่น้ำที่มีกระแสน้ำไหลขึ้นและไหลลงเป็นประจำ ก็สามารถยึดติดกับดินชายฝั่งได้เป๋นอย่างดี แนวต้นลำพูตามริมฝั่งแม่น้ำจึงมีมากมายดาษดื่น
แต่ก็น่าแปลกใจ หากคิดจะปลูกต้นลำพูตามริมชายฝั่งแม่น้ำ ก็เป็นเรื่องยากลำบาก
เมื่อสักสิบกว่าปีที่แล้ว พลอยโพยมมีเจ้านาย ระดับรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น ธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) member of เอบีเอ็นแอมโร ( เนเธอร์แลนด์) และในที่สุดเป็น ธนาคารยูโอบี ในปัจจุบัน สมัยที่ท่านรอง ฯ ยังดำรงตำแหน่งที่ต่ำกว่า รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ท่านได้มาซื้อที่ดินริมแม่น้ำบางปะกง ที่ อยู่ใกล้ กับวัด เจดีย์ และวัดสัมปทวน เป็นที่สวนเดิม ท่านปลูกบ้านพัก ปรับปรุงสวนตามอัธยาศัยของท่าน และอยากได้ต้นลำพูอยู่ริมชายฝั่งแม่น้ำ ( เพราะอยากเห็นหิ่งห้อยมาเกาะยามค่ำคืน ) ท่านจึงให้คนดูแลสวน เพียรพยายามปลูกต้นลำพู โดยไปหาต้นลำพูขนาดไม่ใหญ่นักมาปลูก โดยคนในพื้นที่ช่วยหาต้นลำพูให้ คนปลูกก็ไม่เข้าใจ ปลูกแบบต้นไม้ธรรมดาทั่วไป ปลูกแล้วได้สักระยะ ต้นลำพูก็หลุดลอยออกจากชายฝั่งตามกระแสน้ำไป ปลูกกันหลายครั้ง หลายรอบ จนอ่อนอกอ่อนใจ รอบหลัง ๆ คนปลูกก็กดดินให้แน่นกว่าเดิม ก็หลุดลอยไปอีก ต่อมาใช้ไม้ปักช่วยยึด ก็หลุดไปอีก พลอยโพยมไม่แน่ใจว่าต่อมาปลูกได้ด้วยวิธีใด แต่คิดเอาเองว่าน่าจะเปลี่ยนแนวการปลูก ปลูกให้สูงขึ้นจากชายน้ำที่น้ำขึ้นถึง หรือไม่ก็ปลูกบนบกชายฝั่ง ไม่ทันนึกว่าจะนำเรื่องการปลูกต้นลำพูมาเล่าสู่ พรุ่งนี้จะไปติดตามว่าทุกวันนี้ต้นลำพูที่มีคนคุยว่า ปลูกได้แล้ว ปลูกอย่างไร และต้นลำพูยังอยู่หรือไม่ ไปบ้านท่านหลายครั้งแต่ไม่เคยสังเกตสักที
ชายฝั่งบ้านของท่านรอง เป็นฝั่งคุ้ง (ฝั่งดินพังนั่นเอง) ในระยะเวลาที่ท่านมาซื้้อทีดิน ดินยังพังอยู่ แต่ในปัจจุบัน กระแสน้ำน่าจะเปลี่ยนทิศทางแล้ว เพราะ มีการสร้างเขื่อน กันตามบ้านเรือน วัดวาอารามริมชายฝั่งแม่น้ำ ทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทาง
พลอยโพยมเคยเห็นแต่ต้นลำพู แสม จาก ขึ้นรกรุงรังไปหมด ต้นเล็กต้นน้อยเกิดใหม่มากมายในธรรมชาติ ไม่นึกว่าเวลาอยากปลูกเองด้วยฝีมือมนุษย์จะยากลำบาก อย่างที่เล่ามาข้างต้น

บ้านท่านรอง ปลูกต้นลำพูริมฝั่งน้ำ คือชายแม่น้ำที่มีน้ำขึ้นลงตามการขึ้นลง โดยการไปขุดต้นลำพูขนาดเล็กในธรรมชาติ มาชำในเข่ง เป็นเดือน ๆ แทนการที่ขุดได้มาแล้วนำลงปลูกเลย เพราะลำพูหลุดลอยน้ำไปหมด หลังจากต้นลำพูที่ขุดมานี้แข็งแรงมีรากใหม่เกิดขึ้นก็นำไปปลูกชายฝั่ง ดินไม่ถึงขั้นเป็นดินเลนเหลว ๆ ขุดลงไปให้ลึก แล้วเอาต้นลำพูออกจากเข่ง จะมีดินในเข่งลงมาด้วย กดดินนี้ให้แน่น แล้วใช้ไม้ปักช่วยยึดต้นลำพู รากของลำพูจะยึดดินในเข่งไว้ ) และบ้านท่านก็ต้องทำเขื่อนชายแม่น้ำกันดินพังเข่นกัน ต้นลำพูนี้ปลูกนอกเขื่อน (เล็ก ๆ ) ที่ทำกั้นดินพังเท่านั้นไม่ใหญ่โตนัก


ดอกเอ๋ยดอกจาก





จาก ภาษาอังกฤษ Nypa, Atap palm, Nipa palm, Mangrove palm ต้นจาก ชื่อวิทยาศาสตร์ Nypa fruticans Wurmb. จัดอยู่ในวงศ์ปาล์ม (Arecaceae หรือในชื่อเดิมคือ Palmae) เช่นเดียวกับตาล ตาว ลาน หวาย และมะพร้าว และต้นจากมีชื่ออื่นอีก คือ อัตต๊ะโดยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเลของประเทศไทย
(นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. จาก ใน ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550 หน้า 57)
ลักษณะของต้นจาก
ต้นจาก เป็นปาล์มแตกกอจากลำต้นใต้ดินหรือลำต้นที่เลื้อยไปบนดิน โดยโผล่ก้านใบและตัวใบขึ้นมาอยู่เหนือดิน ลำต้นจะแตกแขนงอยู่ใต้ดินทำให้ขึ้นเป็นก่อๆ และหลายทอด ต้นจากมีความสูงประมาณ 3เมตร เจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียว มีอินทรียวัตถุสูง และมีน้ำท่วมขัง ชอบแสงแดดจัด(www.greenerald.com)

(flickr.com by kaixiang )
ใบจาก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงตรงข้ามกัน มีใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน มีความกว้างประมาณ 5-6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 90-120 เซนติเมตร แผ่นใบหนา ปลายใบลักษณะเรียวแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่ม (ลักษณะคล้ายใบมะพร้าว) และเป็นรูปรางน้ำคว่ำ ที่ผิวใบด้านบนมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนผิวใบด้านล่างมีสีนวล ส่วนกาบใบใหญ่ห่อโคนต้น ก้านใบที่แตกใหม่จะเป็นสีม่วงแดง ส่วนโคนใบจะมีกะเปาะอากาศ เป็นตัวช่วยพยุงให้ใบชูขึ้นเหมือนชูชีพ ส่วนกาบใบนี้บางครั้งจะเรียกว่า “พอนใบ” ส่วนช่อดอกที่แทงออกมาเรียกว่า “นกจาก“ (ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. [ออนไลน์] 25 ม.ค. 57)

( flickr.com (by Russell )
ดอกจาก ดอกมีสีเหลือง ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกแน่นระหว่างกาบใบ ดอกเป็นรูปกลม ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน ช่อดอกจะชูตั้งขึ้นและโค้งลง มีความยาวประมาณ 25-65 เซนติเมตร ออกดอกได้ตลอดทั้งปี (ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. [ออนไลน์] 25 ม.ค. 57)



(flickr.com by , Lauren Gutierrez)
ผลจาก ผลเอยู่รวมกันเป็นช่อ มีผลย่อยอยู่เป็นจำนวนมากเป็นกระจุกเรียกว่า “โหม่งจาก” ลักษณะของผลเป็นรูปทรงไข่กลับ (คล้ายกับผลระกำ แต่ไม่มีหนาม) แบนและนูนตรงกลาง ผลมีสีน้ำตาลเรียบเป็นมัน มีความกว้างประมาณ 3-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6.5-7.5 เซนติเมตร ผลมีสันแหลมหรือมีร่องผลประมาณ 9-10 ร่อง ข้างในมีเนื้อเมล็ดสีขาว มีปริมาณของเนื้อไม่มากนัก และใช้รับประทานได้ มีรสชาติคล้ายกับลูกตาลสด ภายในผลมีเมล็ดเมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไข่ มีสีขาว (ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. [ออนไลน์] 25 ม.ค. 57)
โหม่งจาก

(flickr.com by palms r cool)
ลูกจาก กับ ลูกชิด จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยลูกจากจะมาจากต้นจาก ส่วนลูกชิดจะมาจากต้นตาว ซึ่งทั้งต้นจากและต้นตาวนั้นจัดอยู่ในวงศ์เดียวกัน เลยทำให้คิดไปว่าจากกับชิดคือพืชชนิดเดียวกัน หรือมักจะสับสนแล้วเรียกชื่อสลับกัน (ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. [ออนไลน์] 25 ม.ค. 57)
ผลจาก

flickr.com by wildsingapore

สรรพคุณของจาก
-ใบจากนำมาใช้ต้มดื่มแก้แก้อาการท้องร่วงได้
-กลีบดอกของดอกจาก สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมของชาสมุนไพรได้
ประโยชน์ของจาก
ประโยชน์ของต้นจาก นิยมใช้ปลูกเพื่อประดับริมน้ำกร่อย หรือริมทะเล หรือในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง หรือใช้ปลูกเพื่อเป็นแนวกับลม เพื่อช่วยลดเสียงรบกวน ส่วนผลมีลักษณะที่สวยงาม ใช้ปลูกเป็นไม้กระถางประดับได้เช่นกัน
หากย้อนไปเมื่อสมัยก่อนนั้นการปลูกจากนั้นยังถือเป็นการจับจองที่ดิน หากใครปลูกในบริเวณไหนก็จะถือว่าเป็นที่ดินของคนนั้น ซึ่งปลูกโดยวิธีการลงแขก ผู้ที่ไปช่วยปลูกจะเป็นพยานในการจับจองที่ดินด้วย
ประโยชน์ต้นจากที่เหลือใช้ สามารถนำมาใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงได้
ประโยชน์ของลูกจากอ่อน หรือ ผลอ่อน สามารถนำมาไปแกงทำเป็นอาหาร ต้มกินกับน้ำพริก ใช้เป็นผักเหนาะน้ำพริก กินร่วมกับแกงไตปลา ทำเป็นแกงกะทิ ฯลฯ หรือหากปล่อยให้อ่อนพอเหมาะ หรือลูกจากหนุ่มก็ผ่าเอาเมล็ดมารับประทานสดเป็นผลไม้ได้ หรือจะนำมาลอยแก้ว หรือใช้เชื่อมรับประทานเป็นขนมหวานหรือทานร่วมกับไอศกรีมก็อร่อยไม่ใช่น้อย
ผลจากที่สุกแล้วจะมีเนื้อเยื่อสีขาวและใส นุ่มมีรสหวาน ใช้รับประทานเป็นของหวาน หรือที่เรียกว่า “ลูกจากเชื่อม”
ผลอ่อนที่แตกหน่อ จะมีจาวจากอยู่ข้างใน สามารถนำมารับประทานได้เช่นเดียวเหมือนจาวมะพร้าวและจาวตาล
น้ำหวานของต้นจาก (ปลายช่อดอก) หรือที่เรียกว่า “น้ำตาลจาก” มีรสชาติเหมือนกับน้ำตาลโตนด และยังสามารถนำไปเคี่ยวเพื่อทำเป็น “น้ำผึ้งจาก” ได้ด้วยและจะได้ “น้ำตาลปึก” เมื่อเคี่ยวต่อไปก็จะได้เป็น“ตังเม” ซึ่งเป็นขนมที่เด็กจะชอบกันมากหรือจะนำไปหมักเพื่อเป็น “น้ำส้มจาก” ก็ได้เช่นกัน โดยน้ำส้มจากเมื่อนำไปหมักผสมกับอาหารกุ้งก็จะช่วยทำให้น้ำในบ่อกุ้งไม่เน่าเสียอีกด้วย และยังใช้น้ำส้มจากเพื่อนำไปทำเป็น ”น้ำตาลเมา” ก็ได้
งวงจากหนุ่ม สามารถนำมาใช้ทำเป็นไม้กวาด หรือทำเป็นแส้สำหรับปัดแมลงได้ หรือทำชดหรือแปรงล้างกระบอกตาลตอนทำน้ำตาลจาก
ใบจากสามารถนำมาใช้ห่อขนมจาก ใช้ทำแมงดากันฝน ทำเป็นของเล่นหรือลูกโตน ส่วนใบแก่จะเย็บเป็นตับจากแล้วนำมาใช้มุงหลังคาหรือใช้กั้นฝาบ้านได้ หรือทำกระแชงที่มีลักษณะคล้ายกับเต็นท์ แถมยังกันความร้อนได้ดีกว่าเต็นท์อีกด้วย หรือนำมาทำเป็นเพิงสำหรับอาศัยพักผ่อนของชาวไร่ชาวสวน ใช้ทำเป็นหมวกที่เรียกว่า “เปี้ยว” หรือจะใช้กันแดดกันฝนบนเรือแจวก็ได้ นอกจากนี้ยังนำมาใช้ทำฝาชีสำหรับครอบกับข้าว หรือทำเป็นฝาซึงสำหรับนึ่งอาหาร เพราะใบจากจะทนทานต่อความร้อนได้ดี เปรียบเสมือนกันความร้อน ส่วนก้านใบที่ลิดใบแล้วใช้ทำไม้กวาดและทำเสวียนหม้อได้
ใบอ่อนที่เพิ่งแตกยอดใช้ทำมวนบุหรี่สูบ ทำเสวียนหม้อ ตอกบิด ห่อขนมจาก นอกจากนี้ยังใช้ทำที่ตักน้ำที่เรียกว่า “หมาจาก” สำหรับใช้วิดน้ำในเรือได้ แถมยังดีกว่าหมาวิดน้ำแบบอื่นๆ เพราะหมาจากนั้นไม่กินเนื้อไม้ ทำให้เนื้อไม่มีเสีย เรือไม่ทะลุ
พอนจาก หรือ ปงจาก ใช้ทำเป็นทุ่นสำหรับเกาะตอนว่ายน้ำเพื่อไม่ให้จม หรือนำไปทำเป็นของเล่นสำหรับเด็ก เช่น ทำเป็นดาบ ปืน เรือ ฯลฯ นอกจากนี้ส่วนที่เหนือขึ้นไปเล็กน้อยของพอนจากก็สามารถนำมาตัดทำเป็นไม้ดอกตีเงี่ยงปลาสำหรับชาวประมงได้ด้วย (โดยเลือกตัดเอาเฉพาะพอนจากที่มีขนาดพอดีมือ)[3] หรือนำมาใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงก็ได้
ทางจาก สามารถนำมาทำปลอกสำหรับแจวเรือได้ โดยมีข้อดีกว่าปลอกแจวแบบเป็นเชือกไนลอนคือจะมีความเหนียวกว่า แต่ก็มีข้อเสียคือไม่ทนทานเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ยังใช้ทำตับจากได้อีก แต่นำมาใช้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะไม่แข็งแรง และชาวประมงก็ยังส่วนของทางจากแก่นำมาทำเป็นตะแกรงสำหรับย่างปลาอีกด้วย
การปลูกจาก เกษตรกรจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน จะปลูกเพื่อทำตาล หรือปลูกเพื่อตัดใบ ตัดยอด หากปลูกเพื่อตัดใบ ตัดยอด ควรปลูกในระยะ 22 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 400 กอ หากปลูกเพื่อทำตาลควรปลูกในระยะห่าง 44 เมตร การคัดเลือกพันธุ์จาก หากปลูกเพื่อทำตาล จะต้องเลือกพันธุ์จากที่มีงวงใหญ่ยาว ประเภทนี้จะให้น้ำหวานมากกว่าจากงวงสั้น

การทำตาลจาก ให้เลือกจากที่มีงวงยาว ทะลายใหญ่ สมบูรณ์ ประเภทผลแก่กลางอ่อน จากแต่ละต้นมีหลายงวงแต่ทำตาลได้เพียงงวงเดียวเท่านั้นครับ งวงที่ทำตาลไม่ได้เราตัดออกเมื่อตอนที่ยังอ่อน นำลูกจากอ่อนไปหั่นเป็นแว่นบางๆ ลวกน้ำร้อน ขายเป็นหัวลูกจากดอง ร้านขายขนมจีนต้องการมาก เมื่อคัดเลือกงวงตาลได้แล้วขั้นตอนต่อไป คือ การตีตาล โดยเริ่มจากโน้มงวงจากให้ค้อมลงมา โดยให้ทะลายเกือบถึงพื้นดิน หาไม้ที่มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ความยาวประมาณ 1 ศอก หากเป็นไม้เนื้อแข็งควรหุ้มด้วยยางในรถยนต์ หรือ รถจักรยานยนต์ เคาะบริเวณคองวงวันละประมาณ 100 ครั้ง ทำอย่างนี้ 3 วัน หยุดพัก 2 วัน เรียกว่า 1รอบ ทำอยู่ 3 รอบ โดยใช้เวลาเคาะและพักทั้งสิ้น 15 วัน ก็ให้ลูกตาลออก หลังจากนั้นก็ใช้มีดทับปาดทุกวัน เช้า-เย็น ประมาณ 3-5 วัน หลังจากตัดลูกออกแล้วน้ำหวานก็จะไหลออกจากงวง หาภาชนะมารองรับ สมัยก่อนใช้กระบอกไม่ไผ่ ปัจจุบันนิยมใช้ขวดน้ำมารองรับ




ไทร นักบุญแห่งป่านักล่าแห่งพงไพร
ไทรย้อยใบแหลม หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ไทร (ชื่อวิทยาศาสตร์: Ficus benjamina; อังกฤษ: Weeping fig, Ficus tree)เป็นพันธุ์ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ลำต้นมีความสูงประมาณ10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ผิวเปลือกเรียบสีขาวปนเทา ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่ง และส่วนยอดของลำต้น ใบออกเป็นคู่สลับกัน ลักษณะใบ ขนาดใบ และสีสันแตกต่างกันตามชนิดย่อย

ความเชื่อเกี่ยวกับไทร
คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นไทรไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความร่มเย็น จนมีคำโบราณกล่าวว่า "ร่มโพธิ์ร่มไทร" ช่วยทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขนอกจากนี้ยังช่วยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวงเพราะบางคนเชื่อว่าต้นไทรเป็นต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีเทพารักษ์อาศัยอยู่คอยคุ้มครองพิทักษ์ปวงชนให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต้นไทรไว้ทางทิศตะวันตกผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคารเพราะเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทางใบให้ปลูกในวันอังคาร และเป็นต้นไม้ประจำกรุงเทพมหานคร และมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์

ใบของไทรย้อยใบแหลม



ลักษณะวิสัย
ไม้ต้น สูงได้ถึง 10 เมตร มีรากอากาศย้อยสวยงาม น้ำยางขาว
ลักษณะใบ
ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรี รูปใบหอกหรือรูปไข่แกมวงรี
ลักษณะดอก
ดอกช่อ เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปร่างกลมคล้ายผล ออกเป็นคู่ที่ซอกใบ แยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน
สรรพคุณ
ตำรายาไทยใช้ รากอากาศ ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ (โรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ มีปัสสาวะขุ่นข้น เหลืองหรือแดง มักมีอาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้) ปัสสาวะพิการ (อาการปัสสาวะปวด หรือกะปริบกะปรอย หรือขุ่นข้น สีเหลืองเข้ม หรือมีเลือด) แก้กษัย (อาการป่วยที่เกิดจากหลายสาเหตุ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ซูบผอม โลหิตจาง ปวดเมื่อย)

การปลูก
1. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนโบราณนิยมปลูกไว้เพื่อประดับบริเวณสวนเพราะเป็นไม้ที่มีการแตกกิ่งก้านสาขาที่กว้างใหญ่ ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วนอัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก
2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงสูงขนาด 12-18 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:แกลบผุ:ดินร่วนอัตรา 1:1:1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถาง 1- 2 ปี/ครั้งหรือแล้วแต่ความเหมาะสมของทรงพุ่มทั้งนี้ก็เพราะการเจริญเติบโตของทรงพุ่มโตขึ้นและ เพื่อต้องการเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป
การปลูกทั้ง 2 วิธี ดังกล่าวสามารถตัดแต่งและบังคับรูปทรงของทรงพุ่มได้ตามความต้องการผู้ปลูกนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ด้วยว่าพันธุ์ ด้วยว่าพันธุ์ใดจะเหมาะสมกับวิธีการปลูกแบบใด ตามวัตถุประสงค์ผู้ปลูก
ไทรนักบุญแห่งป่า นักฆ่าแห่งพงไพร
หุบเขาลำพญาจัดว่าเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งวัดได้จากจำนวนของ“ต้นไทร” และการเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆของกล้าไทรและเมื่อพูดถึง“ต้นไทร” ต้นไม้ชนิดนี้เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในบรรดาต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในเขตร้อนชื้น ต้นไทรมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า“Ficus spp.” วงศ์ MORACEAEลักษณะเด่นของต้นไทร เช่น รากอากาศ ลำต้นอันคดเคี้ยวเต็มไปด้วยซอก รู และช่องว่างมากมาย ตลอดจนทรงพุ่มที่กว้างใหญ่ให้ความร่มรื่นโดยไทรจะขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ผลของไทรเป็นอาหารของสัตว์ป่าหลายชนิด ต้นไทรสามารถจะงอกและเติบโตจากข้างบนแล้วลงสู่พื้น และสามารถหาธาตุอาหารจากเศษดิน ฝุ่น ที่อยู่บนยอดไม้สูง จากนั้นไทรจะเติบโตบนต้นไม้ที่มันอาศัย และฆ่าต้นไม้นั้นในที่สุดชีวิตของต้นไทรแต่ละต้นอาจจะเริ่มจากชะนี นก และค้างคาว ซึ่งชอบกินลูกไทร แล้วถ่ายเมล็ดไทรทิ้งไว้ทั่วไปโดยไม่เจตนา โดยเฉพาะต้นไม้สูงซึ่งสัตว์ประเภทชะนี และนก มักอาศัยกินและถ่าย คุณสมบัติของเมล็ดไทรจะมีผิวหนาและเหนียว เมื่อเกาะติดอยู่บนเปลือกไม้ก็จะสัมผัสกับอินทรีย์วัตถุและความชื้นจากเปลือกไม้ ซึ่งจะมีบักเตรีช่วยย่อยสลายผิวเมล็ดไทร ทำให้เมล็ดไทรงอกเป็นต้นไทรใหม่ ในช่วงแรกต้นอ่อนจะได้รับธาตุอาหารจากเศษดินเศษฝุ่นที่ลอยตามสายลมมาติดต้นไม้ที่มันอาศัย และได้รับความชื้นจากอากาศและน้ำที่ไหลตามเปลือกของต้นไม้ที่มันอาศัยเช่นกัน ทำให้ต้นไทรอยู่ได้และโตขึ้นเรื่อยๆจนสามารถแทงรากใหญ่ๆเพียงรากเดียวหรือหลายรากลงสู่พื้นดิน จากนั้นก็ส่งน้ำและอาหารขึ้นไปยังต้นที่อยู่ข้างบน จะเห็นว่าต้นไทรได้เปรียบจากต้นไม้ที่มันอาศัยอยู่มาก เพราะว่ามันเริ่มต้นจากข้างบนและเลี้ยวตัวเองด้วยรากเพียงหนึ่งราก แถมสามารถแผ่กิ่งก้านได้อย่างรวดเร็ว ใบของมันก็สามารถปรับทิศทางเข้าหาแสงได้คล้ายๆดอกทานตะวัน ในไม่ช้าพุ่มไทรก็จะสามารถแย่งน้ำและแสงแดดได้อย่างเต็มที่ พร้อมๆกับการถึงวาระจุดจบของต้นไม้ที่มันอาศัยอยู่จนเจริญเติบโต


ประโยชน์ที่เด่นชัดที่สุด คือ ลูกไทร จะเป็นอาหารของสัตว์ป่านานาชนิด พวกลิง ชะนี นก และค้างคาวมักมีสิทธิ์ที่จะได้กินก่อน เพราะอาศัยอยู่บนที่สูงอยู่แล้ว ซึ่งสัตว์พวกลิงดูเหมือนจะฟุ่มเฟือยมากที่สุด เพราะลิงชอบหักและเขย่ากิ่งไทรเพื่อขับไล่สัตว์ชนิดอื่น การเขย่ากิ่งไทรเพียงครั้งเดียว ลูกไทรก็จะร่วงหล่นทีละมากๆ แม้แต่นกยังสามารถทำให้ลูกไทรร่วงหล่นได้เช่นกัน ซึ่งลูกไทรที่ร่วงหล่นก็จะกลายเป็นอาหารของสัตว์จำพวกเก้ง กวาง กระจง สมเสร็จ และหมูป่าอีกต่อหนึ่ง ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะช่วยแพร่กระจายเมล็ดไทรไปทั่วป่า โดยการขับถ่ายของเสียออกมา ซึ่งก็หนีไม่พ้นเมล็ดไทรสุก




รูปร่างลักษณะของต้นไทรที่คดเคี้ยว และเต็มไปด้วยซอกรูน้อยใหญ่มากมาย เหมาะที่จะเป็นที่ซ่อนตัวหรือที่อยู่อาศัยของสัตว์และแมลงสารพัดชนิด เช่น จักจั่น ตุ๊กแก แตน ผึ้ง ปลวก มด แมงป่อง ชะมด อีเห็น และนกบางชนิด ซึ่งสัตว์บางชนิดอาจจะมาอาศัยอยู่เพียงชั่งครั้งชั่วคราว แต่บางชนิดจะเกิดและตายในต้นไทรเลยก็มีตลอดจนเป็นที่หากินของสัตว์บางชนิดที่มาหากินสัตว์ที่อาศัยอยู่ที่ต้นไทร โดยคุณค่าทางระบบนิเวศของต้นไทร ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์และแมลงที่มีความสำคัญยิ่งต่อระบบป่า












“ไทรกำเนิด..และดำรงชีวิต..โดยอาศัยความตายของต้นไม้อื่น แต่เพื่อสร้างและหล่อเลี้ยงวงจรชีวิตของป่า” ที่สำคัญ“ไทร” เป็นต้นไม้ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าและสัตว์ป่า






















เมื่อพูดถึง“ต้นไทร” ต้นไม้ชนิดนี้เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในบรรดาต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในเขตร้อนชื้น ต้นไทรมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า“Ficus spp.” วงศ์ MORACEAE ลักษณะเด่นของต้นไทร เช่น รากอากาศ ลำต้นอันคดเคี้ยวเต็มไปด้วยซอก รู และช่องว่างมากมาย ตลอดจนทรงพุ่มที่กว้างใหญ่ให้ความร่มรื่น เป็นต้น ครั้งหนึ่งผมเคยไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด และได้พบเห็นต้นไทรขนาดใหญ่ในหมู่บ้าน มีอยู่ 2-3 ต้น ผมกับเพื่อนได้แวะเข้าไปดื่มน้ำอัดลมที่ร้านค้าซึ่งสร้างเป็นเพิงหมาแหงนอยู่ใต้ต้นไทร ขณะดื่มน้ำหวานให้ชุ่มคอคลายร้อนก็แหงนหน้ามองต้นไทร พร้อมกับสันนิษฐานว่า..เหตุที่ต้นไทรไม่ถูกตัดโค่นคงเป็นเพราะชาวบ้านให้ความเคารพ ด้วยความเชื่อที่ว่าต้นไทรเป็นสกุลต้นไม้ที่มีความสำคัญในทางพุทธประวัติ แต่เมื่อได้สอบถามจากชาวบ้านก็ปรากฏว่า เหตุที่ไม่ตัดต้นไทรก็เพราะเนื้อไม้ไม่สวย และแปรรูปไปใช้ประโยชน์ได้ไม่มาก อย่างดีก็แค่เผาเป็นถ่าน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นไทรมีอยู่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหมู่บ้าน ไร่นา หรือป่าดง ประเทศไทยมีตระกูลไทรมากมายถึง 23 ชนิด โดยเป็นต้นไทร 18 ชนิด และต้นโพธิ์ 5 ชนิด
ย้อนอดีต..ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ที่ใต้ต้น“Ficus religisa” ซึ่งคนไทยเรียกว่า“ต้นศรีมหาโพธิ์” ไม่ใช่ต้นโพธิ์ทั่วๆไปที่มีอยู่ในเมืองไทย แต่เป็นพันธุ์ไม้ในประเทศศรีลังกา ซึ่งภายหลังได้นำเข้ามาปลูกในเมืองไทย อย่างไรก็ตามต้นไทรก็เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นโพธิ์ และมีความสำคัญทางพุทธประวัติเหมือนกัน เพราะหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ได้ 7 วัน ก็เสด็จไปประทับใต้ต้นไทรที่ชื่อว่า“อัชบาลนิโครธ” เพื่อทรงพิจารณาธรรมที่ได้จากการตรัสรู้เป็นเวลา 7 วัน


สำหรับด้านนิเวศวิทยานั้น ต้นไทรเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นลักษณะพิเศษของป่าดิบชื้นและความสัมพันธ์อันเกื้อกูลกันอย่างละเอียดอ่อนของระบบนิเวศ ซึ่งเวลาเดินป่าคราใดเรามักจะหยุดพักที่ใต้ต้นไทรเพื่อพิจารณาระบบนิเวศและกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติที่ต้นไทรสอนเราให้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ
ต้นไทรสามารถจะงอกและเติบโตจากข้างบนแล้วลงสู่พื้น และสามารถหาธาตุอาหารจากเศษดิน ฝุ่น ที่อยู่บนยอดไม้สูง จากนั้นไทรจะเติบโตบนต้นไม้ที่มันอาศัย และฆ่าต้นไม้นั้นในที่สุด สำหรับนักนิยมธรรมชาติจากเขตอบอุ่นหรือทางด้านยุโรปจะมีความรู้สึกฉงนงงงวยทีเดียว เมื่อได้พบต้นไม้ที่มีลักษณะเช่นนี้ เอาล่ะ! เราลองมาสืบเรื่องราวของต้นไม้ชนิดนี้กันดู





ชีวิตของต้นไทรแต่ละต้นอาจจะเริ่มจากชะนี นก และค้างคาว ซึ่งชอบกินลูกไทร แล้วถ่ายเมล็ดไทรทิ้งไว้ทั่วไปโดยไม่เจตนา โดยเฉพาะต้นไม้สูงซึ่งสัตว์ประเภทชะนี และนก มักอาศัยกินและถ่าย คุณสมบัติของเมล็ดไทรจะมีผิวหนาและเหนียว เมื่อเกาะติดอยู่บนเปลือกไม้ก็จะสัมผัสกับอินทรีย์วัตถุและความชื้นจากเปลือกไม้ ซึ่งจะมีบักเตรีช่วยย่อยสลายผิวเมล็ดไทร ทำให้เมล็ดไทรงอกเป็นต้นไทรใหม่ ในช่วงแรก..ต้นอ่อนจะได้รับธาตุอาหารจากเศษดินเศษฝุ่นที่ลอยตามสายลมมาติดต้นไม้ที่มันอาศัย และได้รับความชื้นจากอากาศและน้ำที่ไหลตามเปลือกของต้นไม้ที่มันอาศัยเช่นกัน ทำให้ต้นไทรอยู่ได้และโตขึ้นเรื่อยๆจนสามารถแทงรากใหญ่ๆเพียงรากเดียวหรือหลายรากลงสู่พื้นดิน จากนั้นก็ส่งน้ำและอาหารขึ้นไปยังต้นที่อยู่ข้างบน จะเห็นว่าต้นไทรได้เปรียบต้นไม้ที่มันอาศัยอยู่มาก เพราะว่ามันเริ่มต้นจากข้างบนและเลี้ยวตัวเองด้วยรากเพียงหนึ่งราก แถมสามารถแผ่กิ่งก้านได้อย่างรวดเร็ว ใบของมันก็สามารถปรับทิศทางเข้าหาแสงได้คล้ายๆดอกทานตะวัน ในไม่ช้าพุ่มไทรก็จะสามารถแย่งน้ำและแสงแดดได้อย่างเต็มที่ พร้อมๆกับการถึงวาระจุดจบของต้นไม้ที่มันอาศัยอยู่จนเจริญเติบโต
นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษพบต้นไม้ใจร้ายนี้เป็นครั้งแรกก็เรียกมันว่า“Strangler” หรือ“มะเดื่ออันธพาล” เพราะนิสัยของมันที่บีบคั้นเบียดเบียนต้นไม้ที่อาศัยอยู่จนตายในที่สุด สำหรับภาษาสแปนิช(หรือสเปน)ของเหล่าประเทศทางอเมริกาใต้จะเรียกมันว่า“Matapalo” ซึ่งหมายความว่า“ตัวฆ่าต้นไม้” เนื่องจากต้นไทรจะบีบคั้นต้นไม้ที่มันอาศัยอยู่ ให้ตายทีละน้อยๆแล้วมันก็จะเจริญงอกงามทดแทนที่ต้นไม้เก่า ตรงส่วนแก่นกลางลำต้นที่กลวงอยู่ ปรากฏการณ์นี้จะเกิดเฉพาะในป่าเขตร้อนชื้นเท่านั้น และเฉพาะที่ซึ่งเหมาะสม


ในเขตร้อนชื้นมีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตต่างๆมาก เพราะที่นี่มีธาตุอาหารสูง ภายใต้เรือนยอดไม้จะมีความชื้นตลอดปี พืชทุกชนิดแม้แต่รากอากาศของต้นไทรจึงสามารถเจริญเติบโตได้ตลอดทั้งปี ซึ่งต่างกับพืชในเมืองหนาวที่ต้องอาศัยการฟักตัวในช่วงฤดูหนาว
คนที่เข้าใจในเรื่องนิเวศวิทยาของป่าอย่างไม่ถูกต้อง และฝักใฝ่สนใจแต่เฉพาะไม้เนื้อแข็ง..ไม้ยืนต้น มักตราหน้าต้นไทรว่า“นักฆ่า”หรือ“ฆาตกร” เราเดาเอาเองว่าเหตุที่เรียกเช่นนั้น เพราะคงคิดว่าต้นไทรไม่เลือกต้นที่จะฆ่า และบ่อยครั้งที่มันฆ่าต้นไม้ที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ โดยเฉพาะพวกไม้เนื้อแข็งที่สูงค่า ราคาแพง แล้วมนุษย์ล่ะ!ชอบตัดต้นไม้เพื่อนำไปใช้สอยจนเหลือแต่ตอ นานๆจึงปลูกทดแทนสักที ถึงแม้ไทรจะฆ่าต้นไม้ แต่มันก็มีต้นใหม่ขึ้นมาทดแทน หรือบางครั้งต้นไม้ที่มันอาศัยนั้นมักจะเป็นต้นไม้ที่แก่ ซึ่งพร้อมที่จะตายอยู่แล้ว นอกจากนั้นต้นไทรยังช่วยงานบักเตรี เชื้อรา และแมลงต่างๆ ด้วยการเร่งสลายตัวของต้นไม้ที่มันอาศัยแก่สิ่งเหล่านั้น แต่นิสัยคนเรามักจะประเมินคุณค่าของป่าไม้เป็นจำนวนเงิน เราจึงสนใจแต่พวกไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้ยาง และไม้ตะเคียนมากกว่าไม้ชนิดอื่นๆ และบางคนอาจจะไม่สนใจต่อการกระทำของต้นไทรก็เป็นได้





รูปร่างลักษณะของต้นไทรที่คดเคี้ยว และเต็มไปด้วยซอกรูน้อยใหญ่มากมาย เหมาะที่จะเป็นที่ซ่อนตัวหรือที่อยู่อาศัยของสัตว์และแมลงสารพัดชนิด เช่น จักจั่น ตุ๊กแก แตน ผึ้ง ปลวก มด แมงป่อง ชะมด อีเห็น และนกบางชนิด ซึ่งสัตว์บางชนิดอาจจะมาอาศัยอยู่เพียงชั่งครั้งชั่วคราว แต่บางชนิดจะเกิดและตายในต้นไทรเลยก็มี ตลอดจนเป็นที่หากินของสัตว์บางชนิดที่มาหากินสัตว์ที่อาศัยอยู่ที่ต้นไทร อย่างไรก็ตามเราน่าจะเห็นได้ชัดในคุณค่าทางระบบนิเวศของต้นไทร ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์และแมลงที่มีความสำคัญยิ่งต่อระบบป่าเราจึงอยากเชิญชวนให้เพื่อนๆ หาที่นั่งให้สบายๆใกล้ๆต้นไทร แล้วคอยจับตามองดู บางทีสัตว์เหล่านั้นอาจจะปรากฏตัวให้เราได้เห็นก็เป็นได้ นอกจากนี้เรายังจะสังเกตเห็นพันธุ์ไม้เลื้อย กาฝาก กล้วยไม้ หรือแม้แต่ต้นไทรต้นใหม่ที่กำลังงอกหรือเติบโตบนต้นไทรเดิม


ไม่ว่าใครจะเชื่อว่าต้นไทรเป็น“ต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์” หรือเป็น“ตัวฆ่าต้นไม้” “น่าเกลียด” หรือมี“ความสวยงาม” ก็ตาม เราคงจะอดชื่นชมไม้ได้ เพราะประโยชน์มากมายที่มันเอื้อต่อชีวิตอื่นๆในป่า ความยิ่งใหญ่..และความมีน้ำใจ..คือความโดดเด่นของมัน บางคนอาจจะไม่ชอบในลักษณะที่ก้าวร้าวของมัน แต่ต้องประจักษ์ว่า สิ่งมีชีวิตต้องอาศัยการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆอยู่แล้ว เราจึงน่าจะทึ่งต้นไทรในข้อที่ว่า“ไทรกำเนิด..และดำรงชีวิต..โดยอาศัยความตายของต้นไม้อื่น แต่เพื่อสร้างและหล่อเลี้ยงวงจรชีวิตของป่า” ที่สำคัญ..“ไทร” เป็นต้นไม้ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าและสัตว์ป่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น