Lumpoo-BangKraSorb

Lumpoo-BangKraSorb

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ข้อมูลฐานกิจกรรม ที่1 (พื้นที่ป่าชุ่มน้ำ)

ข้อมูลฐานกิจกรรม






1.พื้นที่ป่าชุ่มน้ำ
                พื้นที่ชุ่มน้ำ (อังกฤษ: wetlandหมายถึงลักษณะทางภูมิประเทศที่มีรูปแบบเป็น พื้นที่ลุ่ม พื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่ลุ่มชื้นแฉะ พื้นที่ฉ่ำน้ำ มีน้ำท่วม มีน้ำขัง พื้นที่พรุ พื้นที่แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่มีน้ำขังหรือท่วมอยู่ถาวรและชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งและน้ำทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมไปถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเล และพื้นที่ของทะเล ในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดลงต่ำสุดมีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน เมตร 
                คุณประโยชน์
                คุณประโยชน์ของพื้นที่ชุ่มน้ำ คือ การเป็นแหล่งน้ำ แหล่งเก็บกักน้ำฝนและน้ำท่า เป็นแหล่งทรัพยากรและผลผลิตธรรมชาติ ที่มนุษย์สามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวใช้ประโยชน์ได้ และมีความสำคัญต่อการคมนาคมในท้องถิ่น รวมถึงการเป็นแหล่งรวมสายพันธุ์พืชและสัตว์ อันมีความสำคัญทางนิเวศวิทยา และการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งของผู้ผลิตที่สำคัญในห่วงโซ่อาหาร นอกจากนี้บางแห่งยังมีความสำคัญด้านนันทนาการและการท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น และเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางธรรมชาติวิทยา อีกด้วย
                หน้าที่
 โดยการอุ้มซับพลังอันรุนแรงของลมและคลื่น พื้นที่ชุ่มน้ำคือตัวปกป้องแผ่นดินที่เชื่อมต่อจากพายุ น้ำท่วมและความเสียหายจากการกระแทกของคลื่น ต้นไม้ในพื้นที่ชุ่มน้ำช่วยกรองมลพิษและสิ่งสกปรกที่มากับน้ำ ที่ลุ่มชื้นแฉะน้ำจืดส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณที่ราบน้ำท่วมของแม่น้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ระหว่างบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่แสดงให้เห็นการแพร่กระจาย (invasion) การปรับตัว (modification) และการทดแทน (succession) ของพืชพรรณในพื้นที่ กระบวนการแพร่กระจายและการทดแทนได้แก่การเจริญงอกงามของหญ้าทะเล พืชเหล่านี้ช่วยดักตะกอนและเพิ่มอัตราการตกตะกอน ตะกอนที่ถูกจับไว้จะเพิ่มกลายเป็นที่เลนราบ สิ่งมีชีวิตในเลนเริ่มตั้งตัวและกระตุ้นให้เกิดสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นมากขึ้นทำให้องค์ประกอบอินทรย์ของดิน
ป่าแสม โกงกางขึ้นงอกงามบนพื้นที่น้ำตื้นที่มีความลาดเลยไปจากที่เลนราบ เป็นผลให้ความรุนแรงของกระแสน้ำขึ้นลงลดลง พวกต้นไม้เหล่านี้ทำให้การตะกอนตกมากขึ้นทำให้การเกิดที่ลุ่มชื้นแฉะน้ำเค็มขึ้น ความเค็มตามธรรมชาติของดินจำกัดให้มีเฉพาะพืชพรรณทนเค็มเท่านั้นที่ขึ้นทดแทนได้ เช่น หญ้าชายเลน หญ้าทรงกระเทียม ฯลฯ ในระหว่างการทดแทนกันแต่ละครั้งก็ยังมีการเปลี่ยนความหลากหลายในชนิดพืชและสัตว์ของการเกิดทดแทนแต่ละครั้งด้วย
ในที่ลุ่มชื้นแฉะที่เป็นน้ำเค็มมีความหลากหลายในชนิดพืชพรรณค่อนข้างมาก วัฏจักรทางอาหารและที่อยู่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ต้องการวิถีชีวิตเฉพาะ (niche specialisation) มาก ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำประเภทนี้กลายเป็นระบบนิเวศที่ให้ผลิตผลสูงที่สุดในพื้นที่ประเภทอื่นใดบนโลก

                ประเภทของพื้นที่ชุ่มน้ำ
พื้นที่ชุ่มน้ำ มีความหมายครอบคลุมถึงแหล่งน้ำเกือบทุกประเภท ได้แก่ ห้วย หนอง คลอง บึง บ่อ กระพัง (ตระพัง) บาราย แม่น้ำ ลำธาร แคว ละหาน ชายคลอง ฝั่งน้ำ สบน้ำ สระ ทะเลสาบ แอ่ง ลุ่ม กุด ทุ่ง กว๊าน มาบ บุ่ง ทาม พรุ สนุ่น แก่ง น้ำตก หาดหิน หาดกรวด หาดทราย หาดโคลน หาดเลน ชายทะเล ชายฝั่งทะเล พืดหินปะการัง แหล่งหญ้าทะเล แหล่งสาหร่ายทะเล คุ้ง อ่าว ดินดอนสามเหลี่ยม ช่องแคบ ชะวากทะเล ตะกาด หนองน้ำ กร่อย ป่าพรุ ป่าเลน ป่าชายเลน ป่าโกงกาง ป่าจาก ป่าแสม รวมทั้งนาข้าว นากุ้ง นาเกลือ บ่อปลา อ่างเก็บน้ำ เป็นต้น โดยมีประเภทหลักที่สำคัญ คือ
·         พรุ (bog) หรือ มัสเคก (พรุเขตหนาว) คือดินพิตที่เป็นกรด (พรุพิต – peat bog)
·         ทุ่งมัวร์ (moor) ในขั้นแรกมีลักษณะเหมือนพรุแต่ต่อมาได้รวมตัวกับดินบนยอดเนิน
·         มอสส์ (แหล่งที่อยู่) ได้แก่พรุที่ยกตัวสูงขึ้นในสก็อตแลนด์
·         พรุดินด่าง (fen) คือดินพรุน้ำจืดที่มีคุณสมบัติทางเคมีของน้ำใต้ดินเป็นด่าง ซึ่งหมายความว่ามีสัดส่วนของประจุไฮดร็อกซีล ปานกลางถึงสูง (มีค่า pHมากกว่า 7)
·         ที่ลุ่มชื้นแฉะ (marsh) อาจเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นน้ำจืดหรือน้ำเค็มก็ได้ ลักษณะสำคัญของมันก็คือความเปิดโล่งที่มีพืชพรรณประเภทเตี้ยขึ้นอยู่
·         ที่ลุ่มชื้นแฉะชายฝั่ง (น้ำเค็ม) อาจอยู่คู่กับชวากทะเลและอยู่ยาวตามทางน้ำระหว่างเกาะขวางชายฝั่งและชายฝั่งด้านใน พืชพรรณอาจเริ่มจากต้นกกที่ขึ้นในน้ำกร่อยไปจนถึงต้นซาลิโคเนีย ที่ขึ้นบนดินเลนเค็ม พื้นที่ประเภทนี้ยังอาจปรับใช้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์หรือนาเกลือ
·         ที่ลุ่มชื้นแฉะน้ำจืดอาจประกอบด้วย หญ้า กก หญ้าทรงกระเทียมและไม้ล้มลุกอื่นๆ (อาจมีไม้พุ่มเตี้ย) ที่อยู่ได้กับน้ำตื้น ถือเป็นพรุที่มีรูปแบบเปิดโล่ง
·         คารร์ (carr) คือพรุดินด่างอีกชนิดหนึ่งที่ได้พัฒนามาถึงจุดที่สามารถรองรับต้นไม้ได้ คารร์เป็นชื่อเรียกันยุโรปตอนเหนือ
·         มาบ (swamp) คือพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีต้นไม้ขึ้นมากกว่าหญ้าและวัชพืชเตี้ย เป็นชื่อที่เรียกในเขตร้อนและอเมริกาเหนือ ดินและน้ำอาจมีความเป็นกรด โดยมาบที่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยคือ มาบตาพุดมาบพระจันทร์ มาบอำมฤต และมาบกะเบา
·         ป่าชายเลน (mangrove forest) คือพื้นที่ที่สภาพที่ลุ่มน้ำเค็มหรือน้ำกร่อยที่มีต้นไม้ชายเลนขึ้นอยู่เป็นส่วนใหญ่ เช่น ต้นโกงกาง แสม ลำพู ชะคราม เช่น ป่าชายเลนอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ป่าชายเลนศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
·         บึงบายู (bayou) หรือ (slough) เป็นชื่อที่เรียกร่องหรือทางน้ำที่ไหลผ่านมาบ หรือบึง บางครั้งก็เรียกร่องน้ำขึ้น-ลง” (creek)
·         พื้นที่ชุ่มน้ำมนุษย์สร้าง สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่ทำขึ้นเพื่อจงใจให้เป็นที่สำหรับรองรับน้ำท่วมฉับพลัน เพื่อทำให้น้ำโสโครกสะอาดขึ้น ส่งเสริมให้เกิดที่พักพิงและที่อยู่อาศัยของสัตว์ และอาจเพื่อประโยชน์ด้านการหย่อนใจ อาจเรียกว่าแก้มลิงก็ได้
·         หนองน้ำในที่ดอน (pocosin) คือพื้นที่ชุ่มน้ำที่คล้ายพรุการมีไม้พุ่มและต้นไม้ทนไฟขึ้นเป็นส่วนใหญ่ พบมากในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้พื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ในเขตน้ำขึ้นน้ำลง (intertidal) ที่พบตามชายฝั่งทะเลจะต้องมีอุณหภูมิไม่สุดโต่ง คลื่นไม่รุนแรงจัดมาก มีความเค็มไม่สูงและการนำพาของตะกอนเบาบาง รวมทั้งอยู่ในตำแหน่งที่เข้าลักษณะระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของชวากทะเล (estuarine environment)
พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สำรวจและพบว่าประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำประกอบด้วยป่าชายเลน ป่าพรุ หนอง บึงสนุ่น ทะเลสาบและแม่น้ำกระจายอยู่ทั่ประเทศรวมเนื้อที่ได้ 21.36 ล้านไร่ เท่ากับร้อยละ 6.75 ของพื้นที่ประเทศโดยแบ่งกลุ่มตามลำดับความสำคัญตามอนุสัญญาแรมซาร์ได้ดังนี้
·         พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับระหว่างประเทศที่ขึ้นทะเบียนแรมซาร์ 10 แห่ง
·         พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ 61 แห่ง
·         พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ 48 แห่ง
·         พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับท้องถิ่น 19,295 แห่ง
·         พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีสมควรได้รับการคุ้มครองและฟื้นฟู 28 แห่
               
            การปรับตัวให้เข้ากับความเครียดของธรรมชาติ
พื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงถือเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ที่รับความเครียดทางธรรมชาติ (natural stress) นี้เกิดจากความเค็มและการขึ้นลงของน้ำทะเล พื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงนี้จึงต้องทนและสามารถอยู่รอดจากสภาพที่รุนแรงมากสุดจากคลื่นน้ำเค็มที่ขึ้นสูงสุดและความจืดของน้ำจืดเมื่อเวลาน้ำลง และในช่วงน้ำเอ่อที่เป็นน้ำกร่อยซึ่งขึ้นลงเป็นประจำในเวลาต่างๆ ต้นโกงกางสีเทาจัดการกับปัญหาน้ำโดยไล่เกลือออกทางตุ่มตามระบบรากที่ลอย มีกักตุ่มเกลือในใบและมีใบเคลือบมันที่ลดการสูญเสียน้ำ แต่ถึงกระนั้นต้นโกงกางเหล่านี้ก็ยังอ่อนแอต่อการเปลี่ยนระดับความจืดหรือเค็มที่ผิดปกติ
การเปลี่ยนแปลงการขึ้นลงของน้ำทะเลจากการไหลตามผิวบนที่เพิ่มขึ้น หรือระบบการระบายน้ำที่เปลี่ยนไปทำให้น้ำท่วมรากไม้แสมโกงกางมากขึ้นนานกว่าปกติ ย่อมมีผลต่อรากหายใจที่โผล่จากผิวดินพ้นน้ำที่ระดับปกติ นอกจากนี้คุณภาพน้ำที่เปลี่ยนไปยังอาจทำให้เกินขีดความสามารถที่จะรอดชีวิตของต้นไม้เหล่านี้ได้
สิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่นหอย และหอยกาบ เป็นตัวช่วยบ่งชี้ความสมบูรณ์หรือการเสื่อมถอยของระบบนิเวศที่กำลังอยู่ในสภาวะเครียดได้ การลดปริมาณธาตุอาหารในระบบนิเวศมีผลให้การผลิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ลดลง การเปลี่ยนแปลงย่อมเกดขึ้น พื้นที่ชุ่มน้ำส่วนใหญ่จะถูกเติมน้ำหรือระบายให้แห้ง เพื่อการใช้ประโยชน์หลายๆ อย่างของมนุษย์ ตั้งแต่เกษตรกรรมไปถึงที่จอดรถ สาเหตุคือความไม่รู้ กล่าวคือยังไม่รู้คุณค่าทางเศรษฐกิจของพื้นที่ชุ่มน้ำ ตัวอย่างเช่น กุ้งและปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจที่จับขายได้ในน้ำลึกเกิดจากการขยายพันธุ์และอนุบาลเติบโตในช่วงแรกในพื้นที่ชุ่มน้ำ
มนุษย์สามารถเพิ่มพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงให้สมบูรณ์และได้ประโยชน์สูงสุดด้วยการลดสาเหตุที่ทำให้เกิดกระทบให้เหลือน้อยที่สุด คิดค้นยุทธวิธีการจัดการที่จะช่วยปกป้อง และหากเป็นไปได้ควรทำการฟื้นฟูระบบนิเวศส่วนที่เสียหายหรือที่เสี่ยงต่อการเสียหาย
การปกป้องหรือฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลง
ในช่วงที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ มนุษย์ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อระบายน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อพัฒนาเพื่อการต่างๆ หรือ เติมหรือกั้นฝายยกระดับน้ำให้สูงเพื่อกิจกรรมทางนันทนาการ นับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา ได้เกิดความพยายามในรูปใหม่เพื่อการสงวนรักษาหน้าที่ใช้สอยที่เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของพื้นที่ชุ่มน้ำไว้ ซึ่งบางครั้งต้องใช้งบประมาณสูงมาก ตัวอย่างได้แก่ความพยายามของหน่วยงานทหารช่างสหรัฐฯ ในการเอาชนะธรรมชาติด้วยการควบคุมการท่วมของน้ำแล้วใช้พื้นที่เพื่อการพัฒนา ซึ่งโครงการนี้ก็ยังคงอยู่แต่ปัจจุบันกลับเป็นการฟื้นฟูและปกป้องในพื้นที่ชุ่มน้ำกลับเข้าสู่สภาพปกติที่เป็นแหล่งพักพิง ขยายพันธุ์และอนุบาลสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงวิธีการควบคุมน้ำท่วมซึ่งได้แก่:
1.             การแยกออกหรือกันออก หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำมักจัดให้มีทางเข้าและทางสัญจรให้ไปถึงเฉพาะบริเวณที่กำหนดไว้ ในขณะเดียวกันก็ออกข้อจำกัดไม่ให้คนเข้าถึงพื้นที่อื่นที่เปราะบาง การออกแบบจัดวางทางเดินไม้สะพานไม้ (boardwalks) หรือทางเดินเฉพาะบนดิน ซึ่งนับเป็นยุทธวิธีการจัดการสงวนรักษาพื้นที่เปราะบางทางนิเวศเอาไว้ รวมทั้งการออกใบอนุญาตที่มีการจำกัดจำนวน
2.             การศึกษา ในอดีต พื้นที่ชุ่มน้ำถูกมองว่าเป็นที่ดินที่เปล่าไร้ประโยชน์ การรณรงค์ด้านการศึกษาได้ช่วยให้ความเข้าใจและปรับเปลี่ยนแนวความคิดของสาธารณชนไปในทางดีและถูกต้องขึ้น ทำให้สาธารณชนหันมาสนับสนุนพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่เนื่องจากพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่กระจายในพื้นที่รับน้ำ จึงต้องจัดให้มีไกด์คอยให้คำอธิบายสำหรับประชาชนทั่วไป มีการไปบรรยายให้ความรู้ตามโรงเรียน ทำการติดต่อประสานงานกับสื่อต่างๆ รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำ
ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบางกระสอบ
               
                ประวัติและความเป็นมาของลำพูบางกระสอบ
                กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  ลำพูบางกระสอบ”   เริ่มขึ้นจากชาวบ้านกลุ่มหนึ่งในตำบลบางกระสอบ  อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ  ร่วมกับเพื่อนๆ  สังคมออนไลน์บนอินเตอร์เน็ต และ ชาวหอพักจุฬาฯ  เมื่อปี  2549  มาช่วยกันถากถางวัชพืชบนพื้นที่จำนวน  3  ไร่เศษ ของกรมป่าไม้ ที่อนุรักษ์ไว้เป็นปอดของกรุงเทพฯ เพื่อปลูกต้นลำพู โดยมุ่งหวังว่าจะเป็นแหล่งพิงพักอาศัยของ  หิ่งห้อย”  แต่ครั้งนั้นพวกเขามีแต่แรงกายและความตั้งใจที่จะสร้างบ้านให้หิ่งห้อยด้วยการปลูกต้นไม้ที่ขึ้นได้ดีในพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งก็ได้แก่  ลำพู  ลำแพน  โกงกาง  ประสัก  ฯลฯ  ครั้นเมื่อถางพื้นที่  3  ไร่เศษ เสร็จสิ้น  จึงไปขอต้นกล้าลำพูจากกรมป่าไม้  ปรากฏว่าทางแปลงเพาะพันธุ์ของกรมป่าไม้เองก็เพิ่งเริ่มต้นเพาะต้นกล้าลำพูยังมีขนาดเล็กมากๆ  และพวกเขามีแต่แรงกายและความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเห็นสวนรกร้างกลายเป็นป่าต้นลำพูที่มีหิ่งห้อยระยิบระยับยามค่ำคืน    ไม่มีกำลังทุนทรัพย์จากแหล่งใดมาสนับสนุนให้ซื้อหาต้นกล้าลำพูมาปลูกได้   ในที่สุดพื้นที่ที่ช่วยกันถากถางก็กลับมารกเรื้อดังเดิมในเวลาอันรวดเร็ว   เหลือไว้แต่ความปรารถนาอันแรงกล้าที่คุกรุ่นอยู่นานถึง  2  ปี
                จนกระทั่งปี  2551  การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้ตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าขึ้นพวกเรา จึงทำโครงการเสนอขอเงินสนับสนุน  พร้อมกับจดทะเบียนเป็นกลุ่มอนุรักษ์อย่างถูกต้อง ในชื่ออย่างเป็นทางการว่า กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปลูกต้นลำพู” ตำบลบางกระสอบ โดยมี  นางรุจิเรข พลับจ่าง  เป็นประธาน ประกอบด้วยกรรมการจากชาวบ้านหมู่บ้านต่างๆ  ในตำบล และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี

                ลักษณะชุมชน  อาชีพ  และจำนวนประชากรหรือจำนวนเครือข่ายชุมชน
                สำหรับลักษณะชุมชนของตำบลบางกระสอบนั้น   แต่เดิมประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวนมะพร้าว สวนผลไม้ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป   พื้นที่สวนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารก็เสื่อมโทรมลง  กรอปกับคนรุ่นใหม่ต่างหันไปประกอบอาชีพอื่นๆ  อาทิ  รับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม  บริษัท  ห้างร้าน  ฯลฯ   จึงทำให้พื้นที่สวนผลไม้   สวนมะพร้าวเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ  จนถึงปี พ.ศ.2544   สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแสดงเจตจำนงค์ขอรับซื้อที่ดินที่เจ้าของอยากขาย เพื่ออนุรักษ์พื้นที่สีเขียวไว้เป็นปอดของกรุงเทพฯ   ในพื้นที่   6  ตำบล กระเพาะหมูของอำเภอพระประแดง   อันได้แก่   ตำบลทรงคะนอง   บางยอ  บางกระสอบ บางน้ำผึ้ง บางกะเจ้า และ  บางกอบัว   นั้นมีพื้นที่รวมประมาณ 12,000  ไร่ สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติซื้อไว้คิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ คือประมาณ 1,200 ไร่ และต่อมาในปี พ.ศ.2549  พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกรมป่าไม้
           สำหรับตำบลบางกระสอบ มีประชากรทั้งสิ้น 2,700-3,000 คน มีเครือข่ายชุมชน อาทิ กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลำพูบางกระสอบ” กลุ่มปลูกผักไร้สาร   หอวัฒนธรรมวัดบางกระสอบ  กลุ่มสตรี   โรงเรียนวัดบางกระสอบ  ฯลฯ

                ความเป็นมาในการดำเนินการอนุรักษ์
            หลังจากได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ โดยสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ ให้ใช้พื้นที่ แปลง คือ แปลงที่ 22241, 22242 และ 5315 (หมู่บ้านหิ่งห้อย) แปลงที่ 33421, 1841 4510 (ลานลำพู) และ แปลงที่ 38473 เขียนโครงการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ก็ได้รับอนุมัติเงินทั้งสิ้น 2,500,000 บาท แบ่งออกเป็น งวด กลุ่มลำพูบางกระสอบได้เริ่มดำเนินการกับพื้นที่รกร้างทั้ง แปลง ด้วยการถากถางวัชพืช ขุดลอกร่องสวนเดิมเพื่อให้น้ำไหลเวียนถ่ายเทได้ดี รักษาต้นไม้พื้นถิ่นเดิมที่มีอยู่เอาไว้ แล้วจัดซื้อกล้าไม้ ลำพู ลำแพน โกงกาง มาปลูกเสริมเป็นจำนวนมาก ประมาณ 2,000 ต้น จัดสร้าง ลานลำพู เพื่อรองรับกิจกรรมของชุมชน รวมทั้งกลุ่มกิจกรรมจากสถาบันการศึกษา องค์กรต่างๆ และบริษัทห้างร้านทั้งหลาย ที่ผ่านมา ปี มีกลุ่มกิจกรรมลงพื้นที่ มากกว่า 50 กลุ่ม ดังรายละเอียดและภาพปรากฏอยู่ในเวบไซต์ของกลุ่มลำพูบางกระสอบ



               

                วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินงานอนุรักษ์
             นอกจากจะมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างระบบนิเวศพื้นที่ชุมน้ำให้สมบูรณ์เป็นที่อยู่อาศัย   ขยายพันธุ์ของหิ่งห้อยแล้ว   ยังจะทำให้   “ลำพูบางกระสอบ”    เป็นสถานที่เรียนรู้ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์แบบของพื้นที่  6  ตำบลกระเพาะหมู  อ.พระประแดง   ที่ผู้คน   เยาวชน   นักเรียน   นักศึกษา   สามารถเข้ามาเรียนรู้พันธุ์ไม้ท้องถิ่น   สัตว์ท้องถิ่นต่างๆ  ที่มีในปัจจุบัน   และที่เคยมีอยู่ในอดีต   รวมทั้งนกท้องถิ่น และนกอพยพ ที่แวะเวียนผ่านมาพักบริเวณพื้นที่สีเขียวกระเพาะหมูด้วย
             พวกเราเชื่อมั่นว่า  ในระยะเวลา  3-5  ปี  ข้างหน้า  โครงการสร้างและศึกษาระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบางกระสอบ”  จะกลายเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ และชมหิ่งห้อย ที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด

                สภาพป่าและพื้นที่ดำเนินงาน
             แต่เดิมบริเวณนี้เป็นพื้นที่สวนมะพร้าวและสวนผลไม้   เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติซื้อที่ดินเหล่านี้ไว้ ก็มิได้ดูแลให้คงสภาพสวนที่มีการขจัดวัชพืช และลอกดินในท้องร่องขึ้น  จึงทำให้ร่องน้ำตื้นเขิน มีต้นไม้พื้นถิ่นเกิดขึ้นเองอยู่กระจัดกระจาย ที่เห็นมากคือ ต้นจาก ปอทะเล และตีนเป็ดน้ำ  ส่วนต้นลำพูในพื้นที่มีต้นขนาดใหญ่ 4-5 ต้น จากทางเข้าลานลำพู และบริเวณภายในลาน พื้นที่ที่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลำพูบางกระสอบ” ดำเนินการนั้น จำนวนทั้งสิ้น  42 ไร่ มีถนนซอยเพชรหึงษ์ 20 และคลองลัดบางยอ พาดผ่าน จึงสะดวกในการเข้าถึง และลำคลองลัดบางยออันเงียบสงบ ยังคงความเป็นธรรมชาติเดิมๆ อยู่มาก ทั้งยังเป็นคลองที่เหมาะแก่การพายเรือชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน เพราะระยะทางจากพื้นที่แปลงที่เราขนานนามว่า หมู่บ้านหิ่งห้อย” ไปถึงปากคลอง ไม่ถึง กม. นั้น มีหิ่งห้อยให้ชมกระจัดกระจายทั้งสองฝั่ง


               
รูปแบบกิจกรรมที่ดำเนินงาน
            กิจกรรมของกลุ่มลำพูบางกระสอบคือการรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชุ่มน้ำ  ด้วยการปลูกต้นลำพู ลำแพน และโกงกาง ลงไปในพื้นที่ และรักษาสภาพน้ำไม่ให้เน่าเสีย มีการถ่ายเทหมุนเวียน เพื่อให้หอยต่างๆ  ในน้ำอุดมสมบูรณ์  เพราะการจะอนุรักษ์และขยายพันธุ์หิ่งห้อยให้เพิ่มปริมาณมากขึ้นได้นั้น   จะต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย ผสมพันธุ์  และวางไข่   เนื่องจากหิ่งห้อยวางไข่ในน้ำนิ่ง   แล้วฟักเป็นตัวหนอนอาศัยอยู่ในน้ำ  3-6  เดือน  แล้วแต่ชนิด กินหอยเล็กๆ เป็นอาหาร เช่น หอยเจดีย์  หอยเชอรี่  ฯลฯ  ฉะนั้น  หากเกิดน้ำเน่าเสียจนหอยมีชีวิตอยู่ไม่ได้   ก็ไม่มีแหล่งอาหารของหนอนหิ่งห้อย   กิจกรรมหลักอีกอย่าง นอกเหนือจากการปลูกต้นไม้ในระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ   คือการเก็บขยะในลำคลองลัดบางยอ   ด้วยการรณรงค์ผ่านเยาวชนให้ร่วมกันทำกิจกรรมพายเรือเก็บขยะ ทุกครั้งที่มีกลุ่มกิจกรรมจากสถาบันต่างๆ   มาลงพื้นที่ หากมีเวลาพอพวกเราจะขอให้ช่วยกันลงเรือเก็บขยะด้วย ถือเป็นกิจกรรมที่ปลุกจิตสำนึกให้กับเยาวชน

               
                การสนับสนุนจากองค์กรหรือหน่วยงาน
            กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลำพูบางกระสอบ ได้รับการสนับสนุนจาก
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ  (UNDP)
International Union Consavation of Nature (IUCN)
การประปานครหลวง
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.)
กรมป่าไม้  โดย  ศูนย์จัดการพื้นที่สีเขียวเชิงนิเวศ นครเขื่อนขันธ์  
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
กองทุนพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า  การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

                ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน
            จากปลายปี 2551 ที่เริ่มดำเนินงานปรับปรุงพื้นที่ทำระบบน้ำให้ถ่ายเท หมุนเวียนในพื้นที่ และเริ่มปลูกต้นไม้ ในปีนั้นรอบบริเวณมีหิ่งห้อยอยู่เพียงประปราย แต่ ปีเศษที่ผ่านมา เมื่อความสมบูรณ์ของต้นไม้และน้ำดีขึ้น ปริมาณหิ่งห้อยเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด และหากดำเนินการต่อเนื่องไปได้เต็มพื้นที่ 41ไร่  โครงการนี้จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สามารถชมหิ่งห้อยได้ทั้งทางเรือ (พาย) และเดินชมตามสะพานศึกษาธรรมชาติ ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุดในโครงการ มีการจัดสร้าง ลานลำพู  ลานกิจกรรมสำหรับชุมชนและกลุ่มกิจกรรมที่มาเยี่ยมเยือน มี ศาลาต้นไทร ขนาด คูณ และ  ศาลาหิ่งห้อย  ขนาด คูณ 3  ระเบียงชายคลอง   ขนาด คูณ และ ห้องน้ำ ห้อง สามารถรองรับผู้มาเยี่ยมชมได้ระดับหนึ่ง

                วิธีการดูแลรักษาป่าหรือฟื้นฟูป่าจากเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
                            กลุ่มลำพูบางกระสอบ ยึดรูปแบบการฟื้นฟูป่าโดยวิธีธรรมชาติ บนแนวคิดที่ว่าต้นไม้ทุกต้นล้วนสามารถอยู่ร่วมและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ฉะนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มในการดำเนินงาน เราจึงรักษาต้นไม้เดิมทั้งหมดเอาไว้ ถากถางออกไปแต่วัชพืช จัดระบบหมุนเวียนของน้ำธรรมชาติในพื้นที่ แล้วปลูกต้นไม้ (ลำพู และโกงกาง เป็นหลัก) เสริมลงไป จนถึงปัจจุบัน กลุ่มลำพูบางกระสอบ ดำเนินการปลูกต้นลำพูเพื่อสร้างบ้านให้หิ่งห้อยไปแล้วในพื้นที่ แปลง จำนวน 13 ไร่เศษ
                กำหนดแนวเขตการดูแลพื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติของกลุ่มลำพูบางกระสอบ
            ทางกลุ่มฯ ได้รับอนุญาตให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพื้นที่ จำนวน 17 แปลง รวมพื้นที่ 41 ไร่ งาน 96 ตารางวา มีเอกสารรับรองให้กลุ่มลำพูบางกระสอบมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการสร้างและศึกษาระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบางกระสอบ โดยมี  นายสมชัย  เพียรสถาพร  อธิบดีกรมป่าไม้  เป็นผู้เซ็นอนุมัติ
             ทางกายภาพของพื้นที่ทั้งหมด  41 ไร่เศษ นั้น นับว่ามีความเหมาะสมต่อการสร้างระบบนิเวศให้สมบูรณ์เพื่อเป็นแหล่งอนุรักษ์หิ่งห้อย   และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งทีเดียว    เพราะมีถนนซอยเพชรหึงษ์ 20 และคลองลัดบางยอ พาดผ่านพื้นที่ ในอนาคตสามารถจัดให้มีชมหิ่งห้อยได้ทั้งทางบก  (เดินชมตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ) และทางน้ำ (พายเรือตามลำคลองลัดบางยอ)  ซึ่งในปัจจุบัน มีหิ่งห้อยกระจัดกระจายอยู่ทั้งบนบก และสองฝั่งคลอง และเป็นที่น่ายินดีว่า นอกจากหิ่งห้อยน้ำกร่อย  Pteroptyx malacae  ที่เป็นชนิดหลักพบได้นับหมื่นตัวที่ ลำพูบางกระสอบ” แล้ว ยังพบหิ่งห้อยชนิดใหม่ของโลก  ที่ค้นพบโดยนักวิจัยไทย ดร.อัญชนา ท่านเจริญ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Luciola aquatilis ซึ่งจากการที่ได้ส่งภาพถ่ายหิ่งห้อยตัวหนึ่งที่จับได้ที่นี่ ส่งไปให้ตรวจ ก็ได้รับคำยืนยันจาก ดร.อัญชนา ว่าเป็นหิ่งห้อยชนิดใหม่จริงๆ จึงนับว่าเป็นจุดเด่นอีกประการหนึ่งที่ควรอนุรักษ์และขยายพันธุ์ให้เพิ่มจำนวนยิ่งๆ ขึ้นไป

                กฎเกณฑ์เพื่อการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติของกลุ่ม
            กลุ่มเรายึดหลัก ธรรมชาติดูแลธรรมชาติ” เราเพียงแค่ปลูกต้นไม้ลงไปในสภาพแวดล้อมที่มีต้นไม้ท้องถิ่นอยู่เดิม และปล่อยให้เติบโตขึ้น เอื้อเฟื้อเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน หน้าที่ของพวกเรามีเพียงไม่ดำเนินกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบต่อทรัพยากรโดยรวม ทั้ง ดิน น้ำ อากาศ สัตว์ และพืช เราจะเข้าไปแทรกแซงธรรมชาติเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

               

                แผนงานในอนาคต
           ในอนาคตระยะแรกจะมีการสร้างเส้นทางศึกษาธรรมชาติในหมู่บ้านหิ่งห้อย เริ่มจากทางเข้า ผ่านศาลาต้นไทร วกเลียบไปตามริมคลอง ผ่านห้องน้ำ แล้วตีวงอ้อมไปบรรจบกับทางเข้า
                ส่วนระยะต่อไปคือการสร้างสะพานข้ามคลองลัดบางยอ เป็นสะพานแขวน ดัดแปลงมาจากสะพานแขวนที่คุ้งกระเบน จากนั้นก็ข้ามไปจัดการเรื่องการหมุนเวียนของน้ำ พร้อมกับปลูกต้นลำพู และต้นไม้ในนิเวศชุ่มน้ำต่างๆ ในพื้นที่อีกฝั่งคลอง
                ระยะสุดท้าย คือการสร้างสะพานศึกษาธรรมชาติ อาคารนิทรรศการที่จะจัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบพื้นที่ชุ่มน้ำ ขนาด คูณ เมตร และหอดูนก
                สำหรับสะพานศึกษาธรรมชาติที่เลียบริมคลอง และบริเวณที่ผ่านดงต้นจาก จะมีการสาธิตการทำน้ำตาลจากต้นจาก ส่วนด้านหน้าโครงการจะมีซุ้มสำหรับขายผลิตภัณฑ์จากต้นจาก อาทิ น้ำส้มสายชูน้ำตาลจาก ลูกจากสด เชื่อม ลอยแก้ว แส้ปัดยุงจากงวงจาก หมวกใบจาก ฯลฯ ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้จะจุดประกายให้ชาวบ้านที่มีเวลาเป็นผู้เรียนรู้และนำไปผลิต เพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม โดยมีอาจารย์จากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมที่จะลงมาให้ความรู้ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จาก ซึ่งในเรื่องนี้ทางกลุ่มลำพูบางกระสอบจะได้จัดให้กลุ่มแม่บ้านและผู้ที่สนใจได้เรียนรู้ในลำดับต่อไป เพื่อเตรียมไว้รองรับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศแห่งใหม่ที่ชื่อ ลำพูบางกระสอบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น