Lumpoo-BangKraSorb

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ข้อมูลฐานกิจกรรม ที่6 (ไทร นักบุญแห่งป่านักล่าแห่งพงไพร)
ไทร นักบุญแห่งป่านักล่าแห่งพงไพร
กิจกรรมคือพับกระดาษเป็นต้นไม้
วัตถุประสงค์เพื่อ 1.ให้เด็กๆได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบต้นไม้ของตัวเอง
2.ให้เด็กๆได้รู้จักการช่วยเหลือในการทำงานร่วมกัน
3.ให้เด็กๆรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
4.ให้เด็กๆได้เข้าใจในบริบทต่างๆของต้นไม้
-แบบพับรูปต้นไม้ โดยใช้คิริกามิ (kirigami) หรือเทคนิคพับ-แล้ว-ตัด (Fold-and-Cut)
หมายเหตุ : ขั้นที่ 6 ให้ตัดด้านล่างทิ้งไปเลย ส่วนขั้นที่ 8 นี่ หากพับกลางตามรอยประแล้วตัด จะได้ต้นไม้ที่สมมาตรครับ (ไม่งั้นอาจใช้ดินสอวาดรอยตัดไว้ก่อน)
ข้อมูลฐานกิจกรรม ที่5 (น้ำขึ้นน้ำลง)
กิจกรรม นักดำน้ำในขวด
จุดประสงค์
เพื่อให้น้องเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
เพื่อปลูกฝังความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้แก่น้อง
อุปกรณ์
1.
หลอดกาแฟ
2.
คลิปกระดาษ
3.
ขวดพลาสติก
4.
กรรไกร
วิธีการทำ
1.
นำดินน้ำมันมาปั้นเป็นรูปนักประดาน้ำให้มีลำตัวยาว 3.5 cm แล้วติดคลิปหนีบกระดาษที่ด้านหัวแล้ว
แขวนไว้กับปลอกปากกา โดยนักดำน้ำจะต้องมีขนาดที่เหมาะสมพอที่จะผ่านคอขวดลงไปได้
2.
เติมน้ำลงไปในขวดแล้วหย่อนนักดำน้ำลงไป ส่วนบนของปากกาจะลอยปริ่มกับระดับน้ำ
แล้วปิดฝาให้ แน่น แล้วบีบบริเวณกลางขวด แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลง
ผลการทดลอง
เมื่อบีบขวดจะทำให้นักดำน้ำจมลง และเมื่อปล่อยมือจะทำให้นักดำน้ำลอยขึ้น
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เมื่อวางปลอกปากกาลงไปในน้ำฟองอากาศจะเข้าไปอยู่ข้างในปลอกปากกาทำให้นักดำน้ำมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำดังนั้นนักดำน้ำจึงลอยขึ้น
เมื่อเราบีบขวดพลาสติกน้ำจะถูกดันเข้าไปอัดอากาศที่อยู่ในปลอกปากกา
ทำให้นักดำน้ำมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ ดังนั้นนักดำน้ำจึงจม เมื่อปล่อยมือ
ขวดพลาสติกจะขยายตัวออก อากาศที่อยู่ในปลอกปากกาจะขยายตัวทำให้นักดำน้ำมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ
ดังนั้นมันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้งหนึ่ง
การนำไปใช้
การทดลองดังกล่าวใช้หลักการเช่นเดียวกับการสร้างเรือดำน้ำ
ข้อมูลฐานกิจกรรม ที่4 (ตำนานรักหิ่งห้อยกับลำพูและหิ่งห้อยกับดวงดาว)
ตำนานรักหิ่งห้อยกับลำพูและหิ่งห้อยกับดวงดาว
-กิจกรรม
ชื่อเกม พาน้องลำเลียงไข่.....หิ่งห้อย
จุดประสงค์ สร้างความสามัคคี ความมีน้ำใจ เพื่อความสนุกสนาน
อุปกรณ์ ช้อน ลูกปิงปองสีขาว กล่อง
วิธีการเล่น
1 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เท่ากัน
2 ให้นักเรียนตั้งเป็นแถว
3 ให้นักเรียนใช้ช้อนตักลูกปิงปองแล้วส่งต่อให้เพื่อน โดยให้เพื่อนอีกคนใช้ช้อนรับลูกปิงปองแล้วส่งต่อให้เพื่อนอีกคน
4 พอครบเวลาที่กำหนดเราก็จะมานับว่ากลุ่มไหนได้ลูกปิงปองมากที่จะเป็นผู้ชนะ
ฐานที่5 เมื่อมีน้ำขึ้นก็ต้องมีลง
กิจกรรม นักดำน้ำในขวด
จุดประสงค์ เพื่อให้น้องเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
เพื่อปลูกฝังความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้แก่น้อง
อุปกรณ์
1. หลอดกาแฟ
2. คลิปกระดาษ
3. ขวดพลาสติก
4. กรรไกร
วิธีการทำ
1. นำดินน้ำมันมาปั้นเป็นรูปนักประดาน้ำให้มีลำตัวยาว 3.5 cm แล้วติดคลิปหนีบกระดาษที่ด้านหัวแล้ว แขวนไว้กับปลอกปากกา โดยนักดำน้ำจะต้องมีขนาดที่เหมาะสมพอที่จะผ่านคอขวดลงไปได้
2. เติมน้ำลงไปในขวดแล้วหย่อนนักดำน้ำลงไป ส่วนบนของปากกาจะลอยปริ่มกับระดับน้ำ แล้วปิดฝาให้ แน่น แล้วบีบบริเวณกลางขวด แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลง
ผลการทดลอง เมื่อบีบขวดจะทำให้นักดำน้ำจมลง และเมื่อปล่อยมือจะทำให้นักดำน้ำลอยขึ้น
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เมื่อวางปลอกปากกาลงไปในน้ำฟองอากาศจะเข้าไปอยู่ข้างในปลอกปากกาทำให้นักดำน้ำมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำดังนั้นนักดำน้ำจึงลอยขึ้น เมื่อเราบีบขวดพลาสติกน้ำจะถูกดันเข้าไปอัดอากาศที่อยู่ในปลอกปากกา ทำให้นักดำน้ำมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ ดังนั้นนักดำน้ำจึงจม เมื่อปล่อยมือ ขวดพลาสติกจะขยายตัวออก อากาศที่อยู่ในปลอกปากกาจะขยายตัวทำให้นักดำน้ำมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ ดังนั้นมันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้งหนึ่ง
การนำไปใช้ การทดลองดังกล่าวใช้หลักการเช่นเดียวกับการสร้างเรือดำน้ำ
-กิจกรรม
ชื่อเกม พาน้องลำเลียงไข่.....หิ่งห้อย
จุดประสงค์ สร้างความสามัคคี ความมีน้ำใจ เพื่อความสนุกสนาน
อุปกรณ์ ช้อน ลูกปิงปองสีขาว กล่อง
วิธีการเล่น
1 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เท่ากัน
2 ให้นักเรียนตั้งเป็นแถว
3 ให้นักเรียนใช้ช้อนตักลูกปิงปองแล้วส่งต่อให้เพื่อน โดยให้เพื่อนอีกคนใช้ช้อนรับลูกปิงปองแล้วส่งต่อให้เพื่อนอีกคน
4 พอครบเวลาที่กำหนดเราก็จะมานับว่ากลุ่มไหนได้ลูกปิงปองมากที่จะเป็นผู้ชนะ
ฐานที่5 เมื่อมีน้ำขึ้นก็ต้องมีลง
กิจกรรม นักดำน้ำในขวด
จุดประสงค์ เพื่อให้น้องเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
เพื่อปลูกฝังความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้แก่น้อง
อุปกรณ์
1. หลอดกาแฟ
2. คลิปกระดาษ
3. ขวดพลาสติก
4. กรรไกร
วิธีการทำ
1. นำดินน้ำมันมาปั้นเป็นรูปนักประดาน้ำให้มีลำตัวยาว 3.5 cm แล้วติดคลิปหนีบกระดาษที่ด้านหัวแล้ว แขวนไว้กับปลอกปากกา โดยนักดำน้ำจะต้องมีขนาดที่เหมาะสมพอที่จะผ่านคอขวดลงไปได้
2. เติมน้ำลงไปในขวดแล้วหย่อนนักดำน้ำลงไป ส่วนบนของปากกาจะลอยปริ่มกับระดับน้ำ แล้วปิดฝาให้ แน่น แล้วบีบบริเวณกลางขวด แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลง
ผลการทดลอง เมื่อบีบขวดจะทำให้นักดำน้ำจมลง และเมื่อปล่อยมือจะทำให้นักดำน้ำลอยขึ้น
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เมื่อวางปลอกปากกาลงไปในน้ำฟองอากาศจะเข้าไปอยู่ข้างในปลอกปากกาทำให้นักดำน้ำมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำดังนั้นนักดำน้ำจึงลอยขึ้น เมื่อเราบีบขวดพลาสติกน้ำจะถูกดันเข้าไปอัดอากาศที่อยู่ในปลอกปากกา ทำให้นักดำน้ำมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ ดังนั้นนักดำน้ำจึงจม เมื่อปล่อยมือ ขวดพลาสติกจะขยายตัวออก อากาศที่อยู่ในปลอกปากกาจะขยายตัวทำให้นักดำน้ำมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ ดังนั้นมันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้งหนึ่ง
การนำไปใช้ การทดลองดังกล่าวใช้หลักการเช่นเดียวกับการสร้างเรือดำน้ำ
ข้อมูลฐานกิจกรรม ที่3 (ดอกเอ๋ยดอกจาก)
ดอกเอ๋ยดอกจาก

จาก ภาษาอังกฤษ Nypa, Atap palm, Nipa palm, Mangrove palm ต้นจาก ชื่อวิทยาศาสตร์ Nypa fruticans Wurmb. จัดอยู่ในวงศ์ปาล์ม (Arecaceae หรือในชื่อเดิมคือ Palmae) เช่นเดียวกับตาล ตาว ลาน หวาย และมะพร้าว และต้นจากมีชื่ออื่นอีก คือ อัตต๊ะโดยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเลของประเทศไทย
(นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. จาก ใน ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550 หน้า 57)
วิธีเล่น :: จัดผู้เล่นออกเป็นกลุ่ม ให้ผู้เล่นในกลุ่มออกไปหาของที่มาจากธรรมชาติ (ที่ตายแล้ว) แล้วนำของนั้นๆมาประกอบกับของของเพื่อนภายในกลุ่ม แล้วให้ออกมานำเสนอว่าสิ่งที่ประกอบขึ้นมานั้นคืออะไร
ประโยชน์ของการเล่น
ประโยชน์ของการเล่น คือ การได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การวางแผน การลองผิดลองถูก การแก้ปัญหา การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เกิดการแลกเปลี่ยน ช่างคิด ช่างสังเกต กล้าแสดงออก และอื่นๆ
ด้านสังคม
ถ้าให้โอกาสเด็กได้เล่นกับเพื่อน นอกจากจะได้เรียนรู้ที่จะรอคอยเพื่อนคนอื่นๆ ยังรู้จักที่จะให้ และรับอย่างเหมาะสม และยังรู้จักเข้าใจผู้อื่น และเชื่อมสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์
วัตถุประสงค์
1. ช่วยส่งเสริมให้ได้เรียนรู้วิธีการทำงาน และทำกิจกรรม ร่วมกับคนอื่น ๆ ปฏิบัติอยู่ในกติกา และรู้จักใช้ความคิดสร้างสรรค์
2. เปิดโอกาสให้ผู้นำเกมได้ศึกษาพฤติกรรมที่แท้จริงของเพื่อนๆในกลุ่ม 3. ทำให้เด็กได้ร่วมกิจกรรมเสริมสร้างความคิดเพื่อส่งเสริมทักษะขั้นพื้นฐาน 4. ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านอื่น ๆ โดยการใช้เกมเป็นสื่อ ทำให้เด็กที่ร่วมกิจกรรมไม่เบื่อ 5. ทำให้เด็กที่ร่วมกิจกรรมได้รับความสนุกสนานร่าเริง ผ่อนคลายความเครียด

จาก ภาษาอังกฤษ Nypa, Atap palm, Nipa palm, Mangrove palm ต้นจาก ชื่อวิทยาศาสตร์ Nypa fruticans Wurmb. จัดอยู่ในวงศ์ปาล์ม (Arecaceae หรือในชื่อเดิมคือ Palmae) เช่นเดียวกับตาล ตาว ลาน หวาย และมะพร้าว และต้นจากมีชื่ออื่นอีก คือ อัตต๊ะโดยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเลของประเทศไทย
(นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. จาก ใน ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550 หน้า 57)
วิธีเล่น :: จัดผู้เล่นออกเป็นกลุ่ม ให้ผู้เล่นในกลุ่มออกไปหาของที่มาจากธรรมชาติ (ที่ตายแล้ว) แล้วนำของนั้นๆมาประกอบกับของของเพื่อนภายในกลุ่ม แล้วให้ออกมานำเสนอว่าสิ่งที่ประกอบขึ้นมานั้นคืออะไร
ประโยชน์ของการเล่น
ประโยชน์ของการเล่น คือ การได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การวางแผน การลองผิดลองถูก การแก้ปัญหา การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เกิดการแลกเปลี่ยน ช่างคิด ช่างสังเกต กล้าแสดงออก และอื่นๆ
ด้านสังคม
ถ้าให้โอกาสเด็กได้เล่นกับเพื่อน นอกจากจะได้เรียนรู้ที่จะรอคอยเพื่อนคนอื่นๆ ยังรู้จักที่จะให้ และรับอย่างเหมาะสม และยังรู้จักเข้าใจผู้อื่น และเชื่อมสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์
วัตถุประสงค์
1. ช่วยส่งเสริมให้ได้เรียนรู้วิธีการทำงาน และทำกิจกรรม ร่วมกับคนอื่น ๆ ปฏิบัติอยู่ในกติกา และรู้จักใช้ความคิดสร้างสรรค์
2. เปิดโอกาสให้ผู้นำเกมได้ศึกษาพฤติกรรมที่แท้จริงของเพื่อนๆในกลุ่ม 3. ทำให้เด็กได้ร่วมกิจกรรมเสริมสร้างความคิดเพื่อส่งเสริมทักษะขั้นพื้นฐาน 4. ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านอื่น ๆ โดยการใช้เกมเป็นสื่อ ทำให้เด็กที่ร่วมกิจกรรมไม่เบื่อ 5. ทำให้เด็กที่ร่วมกิจกรรมได้รับความสนุกสนานร่าเริง ผ่อนคลายความเครียด
ข้อมูลฐานกิจกรรม ที่2 (ลำพู ลำแพน โกงกาง ตีนเป็ด)
ลำพู ลำแพน โกงกาง ตีนเป็ด
-เกมธรรมชาติที่ตายแล้ว ฐานที่3 ดอกเอ๋ยดอกจาก
-กิจกรรม
ชื่อเกมส์ "จากนี้พี่ขอ"
จุดประสงค์ เพื่อความสนุก, รู้จักกันมากขึ้น, สร้างความสามัคคี
อุปกรณ์ ตะเกียบ, ลูกจากเชื่อม, จาน
วิธีเล่น - แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
- ให้แต่ละกลุ่มแข่งกันใช้ตะเกียบคีบลูกจากให้ได้มากที่สุดในเวลาที่กำหนด
- ทีมที่ชนะจะได้รางวัล สวนทีมที่แพ้ต้องมาแข่งตอบคำถามที่เกี่ยวกับต้นจาก
-เกมธรรมชาติที่ตายแล้ว ฐานที่3 ดอกเอ๋ยดอกจาก
-กิจกรรม
ชื่อเกมส์ "จากนี้พี่ขอ"
จุดประสงค์ เพื่อความสนุก, รู้จักกันมากขึ้น, สร้างความสามัคคี
อุปกรณ์ ตะเกียบ, ลูกจากเชื่อม, จาน
วิธีเล่น - แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
- ให้แต่ละกลุ่มแข่งกันใช้ตะเกียบคีบลูกจากให้ได้มากที่สุดในเวลาที่กำหนด
- ทีมที่ชนะจะได้รางวัล สวนทีมที่แพ้ต้องมาแข่งตอบคำถามที่เกี่ยวกับต้นจาก
ข้อมูลฐานกิจกรรม ที่1 (พื้นที่ป่าชุ่มน้ำ)
ข้อมูลฐานกิจกรรม
1.พื้นที่ป่าชุ่มน้ำ
พื้นที่ชุ่มน้ำ (อังกฤษ: wetland) หมายถึงลักษณะทางภูมิประเทศที่มีรูปแบบเป็น พื้นที่ลุ่ม พื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่ลุ่มชื้นแฉะ พื้นที่ฉ่ำน้ำ มีน้ำท่วม มีน้ำขัง พื้นที่พรุ พื้นที่แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่มีน้ำขังหรือท่วมอยู่ถาวรและชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งและน้ำทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมไปถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเล และพื้นที่ของทะเล ในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดลงต่ำสุดมีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน 6 เมตร
คุณประโยชน์
คุณประโยชน์ของพื้นที่ชุ่มน้ำ คือ การเป็นแหล่งน้ำ แหล่งเก็บกักน้ำฝนและน้ำท่า เป็นแหล่งทรัพยากรและผลผลิตธรรมชาติ ที่มนุษย์สามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวใช้ประโยชน์ได้ และมีความสำคัญต่อการคมนาคมในท้องถิ่น รวมถึงการเป็นแหล่งรวมสายพันธุ์พืชและสัตว์ อันมีความสำคัญทางนิเวศวิทยา และการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งของผู้ผลิตที่สำคัญในห่วงโซ่อาหาร นอกจากนี้บางแห่งยังมีความสำคัญด้านนันทนาการและการท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น และเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางธรรมชาติวิทยา อีกด้วย
หน้าที่
โดยการอุ้มซับพลังอันรุนแรงของลมและคลื่น พื้นที่ชุ่มน้ำคือตัวปกป้องแผ่นดินที่เชื่อมต่อจากพายุ น้ำท่วมและความเสียหายจากการกระแทกของคลื่น ต้นไม้ในพื้นที่ชุ่มน้ำช่วยกรองมลพิษและสิ่งสกปรกที่มากับน้ำ ที่ลุ่มชื้นแฉะน้ำจืดส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณที่ราบน้ำท่วมของแม่น้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ระหว่างบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่แสดงให้เห็นการแพร่กระจาย (invasion) การปรับตัว (modification) และการทดแทน (succession) ของพืชพรรณในพื้นที่ กระบวนการแพร่กระจายและการทดแทนได้แก่การเจริญงอกงามของหญ้าทะเล พืชเหล่านี้ช่วยดักตะกอนและเพิ่มอัตราการตกตะกอน ตะกอนที่ถูกจับไว้จะเพิ่มกลายเป็นที่เลนราบ สิ่งมีชีวิตในเลนเริ่มตั้งตัวและกระตุ้นให้เกิดสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นมากขึ้นทำให้องค์ประกอบอินทรย์ของดิน
ป่าแสม โกงกางขึ้นงอกงามบนพื้นที่น้ำตื้นที่มีความลาดเลยไปจากที่เลนราบ เป็นผลให้ความรุนแรงของกระแสน้ำขึ้นลงลดลง พวกต้นไม้เหล่านี้ทำให้การตะกอนตกมากขึ้นทำให้การเกิดที่ลุ่มชื้นแฉะน้ำเค็มขึ้น ความเค็มตามธรรมชาติของดินจำกัดให้มีเฉพาะพืชพรรณทนเค็มเท่านั้นที่ขึ้นทดแทนได้ เช่น หญ้าชายเลน หญ้าทรงกระเทียม ฯลฯ ในระหว่างการทดแทนกันแต่ละครั้งก็ยังมีการเปลี่ยนความหลากหลายในชนิดพืชและสัตว์ของการเกิดทดแทนแต่ละครั้งด้วย
ในที่ลุ่มชื้นแฉะที่เป็นน้ำเค็มมีความหลากหลายในชนิดพืชพรรณค่อนข้างมาก วัฏจักรทางอาหารและที่อยู่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ต้องการวิถีชีวิตเฉพาะ (niche specialisation) มาก ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำประเภทนี้กลายเป็นระบบนิเวศที่ให้ผลิตผลสูงที่สุดในพื้นที่ประเภทอื่นใดบนโลก
ประเภทของพื้นที่ชุ่มน้ำ
พื้นที่ชุ่มน้ำ มีความหมายครอบคลุมถึงแหล่งน้ำเกือบทุกประเภท ได้แก่ ห้วย หนอง คลอง บึง บ่อ กระพัง (ตระพัง) บาราย แม่น้ำ ลำธาร แคว ละหาน ชายคลอง ฝั่งน้ำ สบน้ำ สระ ทะเลสาบ แอ่ง ลุ่ม กุด ทุ่ง กว๊าน มาบ บุ่ง ทาม พรุ สนุ่น แก่ง น้ำตก หาดหิน หาดกรวด หาดทราย หาดโคลน หาดเลน ชายทะเล ชายฝั่งทะเล พืดหินปะการัง แหล่งหญ้าทะเล แหล่งสาหร่ายทะเล คุ้ง อ่าว ดินดอนสามเหลี่ยม ช่องแคบ ชะวากทะเล ตะกาด หนองน้ำ กร่อย ป่าพรุ ป่าเลน ป่าชายเลน ป่าโกงกาง ป่าจาก ป่าแสม รวมทั้งนาข้าว นากุ้ง นาเกลือ บ่อปลา อ่างเก็บน้ำ เป็นต้น โดยมีประเภทหลักที่สำคัญ คือ
· ทุ่งมัวร์ (moor) ในขั้นแรกมีลักษณะเหมือนพรุแต่ต่อมาได้รวมตัวกับดินบนยอดเนิน
· มอสส์ (แหล่งที่อยู่) ได้แก่พรุที่ยกตัวสูงขึ้นในสก็อตแลนด์
· พรุดินด่าง (fen) คือดินพรุน้ำจืดที่มีคุณสมบัติทางเคมีของน้ำใต้ดินเป็นด่าง ซึ่งหมายความว่ามีสัดส่วนของประจุไฮดร็อกซีล ปานกลางถึงสูง (มีค่า pHมากกว่า 7)
· ที่ลุ่มชื้นแฉะ (marsh) อาจเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นน้ำจืดหรือน้ำเค็มก็ได้ ลักษณะสำคัญของมันก็คือความเปิดโล่งที่มีพืชพรรณประเภทเตี้ยขึ้นอยู่
· ที่ลุ่มชื้นแฉะชายฝั่ง (น้ำเค็ม) อาจอยู่คู่กับชวากทะเลและอยู่ยาวตามทางน้ำระหว่างเกาะขวางชายฝั่งและชายฝั่งด้านใน พืชพรรณอาจเริ่มจากต้นกกที่ขึ้นในน้ำกร่อยไปจนถึงต้นซาลิโคเนีย ที่ขึ้นบนดินเลนเค็ม พื้นที่ประเภทนี้ยังอาจปรับใช้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์หรือนาเกลือ
· ที่ลุ่มชื้นแฉะน้ำจืดอาจประกอบด้วย หญ้า กก หญ้าทรงกระเทียมและไม้ล้มลุกอื่นๆ (อาจมีไม้พุ่มเตี้ย) ที่อยู่ได้กับน้ำตื้น ถือเป็นพรุที่มีรูปแบบเปิดโล่ง
· คารร์ (carr) คือพรุดินด่างอีกชนิดหนึ่งที่ได้พัฒนามาถึงจุดที่สามารถรองรับต้นไม้ได้ คารร์เป็นชื่อเรียกันยุโรปตอนเหนือ
· มาบ (swamp) คือพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีต้นไม้ขึ้นมากกว่าหญ้าและวัชพืชเตี้ย เป็นชื่อที่เรียกในเขตร้อนและอเมริกาเหนือ ดินและน้ำอาจมีความเป็นกรด โดยมาบที่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยคือ มาบตาพุดมาบพระจันทร์ มาบอำมฤต และมาบกะเบา
· ป่าชายเลน (mangrove forest) คือพื้นที่ที่สภาพที่ลุ่มน้ำเค็มหรือน้ำกร่อยที่มีต้นไม้ชายเลนขึ้นอยู่เป็นส่วนใหญ่ เช่น ต้นโกงกาง แสม ลำพู ชะคราม เช่น ป่าชายเลนอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ป่าชายเลนศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
· บึงบายู (bayou) หรือ (slough) เป็นชื่อที่เรียกร่องหรือทางน้ำที่ไหลผ่านมาบ หรือบึง บางครั้งก็เรียก”ร่องน้ำขึ้น-ลง” (creek)
· พื้นที่ชุ่มน้ำมนุษย์สร้าง สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่ทำขึ้นเพื่อจงใจให้เป็นที่สำหรับรองรับน้ำท่วมฉับพลัน เพื่อทำให้น้ำโสโครกสะอาดขึ้น ส่งเสริมให้เกิดที่พักพิงและที่อยู่อาศัยของสัตว์ และอาจเพื่อประโยชน์ด้านการหย่อนใจ อาจเรียกว่าแก้มลิงก็ได้
· หนองน้ำในที่ดอน (pocosin) คือพื้นที่ชุ่มน้ำที่คล้ายพรุการมีไม้พุ่มและต้นไม้ทนไฟขึ้นเป็นส่วนใหญ่ พบมากในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้พื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ในเขตน้ำขึ้นน้ำลง (intertidal) ที่พบตามชายฝั่งทะเลจะต้องมีอุณหภูมิไม่สุดโต่ง คลื่นไม่รุนแรงจัดมาก มีความเค็มไม่สูงและการนำพาของตะกอนเบาบาง รวมทั้งอยู่ในตำแหน่งที่เข้าลักษณะระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของชวากทะเล (estuarine environment)
พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย
สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สำรวจและพบว่าประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำประกอบด้วยป่าชายเลน ป่าพรุ หนอง บึงสนุ่น ทะเลสาบและแม่น้ำกระจายอยู่ทั่ประเทศรวมเนื้อที่ได้ 21.36 ล้านไร่ เท่ากับร้อยละ 6.75 ของพื้นที่ประเทศโดยแบ่งกลุ่มตามลำดับความสำคัญตามอนุสัญญาแรมซาร์ได้ดังนี้
· พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับระหว่างประเทศที่ขึ้นทะเบียนแรมซาร์ 10 แห่ง
· พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ 61 แห่ง
· พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ 48 แห่ง
· พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับท้องถิ่น 19,295 แห่ง
· พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีสมควรได้รับการคุ้มครองและฟื้นฟู 28 แห่
การปรับตัวให้เข้ากับความเครียดของธรรมชาติ
พื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงถือเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ที่รับความเครียดทางธรรมชาติ (natural stress) นี้เกิดจากความเค็มและการขึ้นลงของน้ำทะเล พื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงนี้จึงต้องทนและสามารถอยู่รอดจากสภาพที่รุนแรงมากสุดจากคลื่นน้ำเค็มที่ขึ้นสูงสุดและความจืดของน้ำจืดเมื่อเวลาน้ำลง และในช่วงน้ำเอ่อที่เป็นน้ำกร่อยซึ่งขึ้นลงเป็นประจำในเวลาต่างๆ ต้นโกงกางสีเทาจัดการกับปัญหาน้ำโดยไล่เกลือออกทางตุ่มตามระบบรากที่ลอย มีกักตุ่มเกลือในใบและมีใบเคลือบมันที่ลดการสูญเสียน้ำ แต่ถึงกระนั้นต้นโกงกางเหล่านี้ก็ยังอ่อนแอต่อการเปลี่ยนระดับความจืดหรือเค็มที่ผิดปกติ
การเปลี่ยนแปลงการขึ้นลงของน้ำทะเลจากการไหลตามผิวบนที่เพิ่มขึ้น หรือระบบการระบายน้ำที่เปลี่ยนไปทำให้น้ำท่วมรากไม้แสมโกงกางมากขึ้นนานกว่าปกติ ย่อมมีผลต่อรากหายใจที่โผล่จากผิวดินพ้นน้ำที่ระดับปกติ นอกจากนี้คุณภาพน้ำที่เปลี่ยนไปยังอาจทำให้เกินขีดความสามารถที่จะรอดชีวิตของต้นไม้เหล่านี้ได้
สิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่นหอย และหอยกาบ เป็นตัวช่วยบ่งชี้ความสมบูรณ์หรือการเสื่อมถอยของระบบนิเวศที่กำลังอยู่ในสภาวะเครียดได้ การลดปริมาณธาตุอาหารในระบบนิเวศมีผลให้การผลิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ลดลง การเปลี่ยนแปลงย่อมเกดขึ้น พื้นที่ชุ่มน้ำส่วนใหญ่จะถูกเติมน้ำหรือระบายให้แห้ง เพื่อการใช้ประโยชน์หลายๆ อย่างของมนุษย์ ตั้งแต่เกษตรกรรมไปถึงที่จอดรถ สาเหตุคือความไม่รู้ กล่าวคือยังไม่รู้คุณค่าทางเศรษฐกิจของพื้นที่ชุ่มน้ำ ตัวอย่างเช่น กุ้งและปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจที่จับขายได้ในน้ำลึกเกิดจากการขยายพันธุ์และอนุบาลเติบโตในช่วงแรกในพื้นที่ชุ่มน้ำ
มนุษย์สามารถเพิ่มพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงให้สมบูรณ์และได้ประโยชน์สูงสุดด้วยการลดสาเหตุที่ทำให้เกิดกระทบให้เหลือน้อยที่สุด คิดค้นยุทธวิธีการจัดการที่จะช่วยปกป้อง และหากเป็นไปได้ควรทำการฟื้นฟูระบบนิเวศส่วนที่เสียหายหรือที่เสี่ยงต่อการเสียหาย
การปกป้องหรือฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลง
ในช่วงที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ มนุษย์ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อระบายน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อพัฒนาเพื่อการต่างๆ หรือ เติมหรือกั้นฝายยกระดับน้ำให้สูงเพื่อกิจกรรมทางนันทนาการ นับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา ได้เกิดความพยายามในรูปใหม่เพื่อการสงวนรักษาหน้าที่ใช้สอยที่เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของพื้นที่ชุ่มน้ำไว้ ซึ่งบางครั้งต้องใช้งบประมาณสูงมาก ตัวอย่างได้แก่ความพยายามของหน่วยงานทหารช่างสหรัฐฯ ในการเอาชนะธรรมชาติด้วยการควบคุมการท่วมของน้ำแล้วใช้พื้นที่เพื่อการพัฒนา ซึ่งโครงการนี้ก็ยังคงอยู่แต่ปัจจุบันกลับเป็นการฟื้นฟูและปกป้องในพื้นที่ชุ่มน้ำกลับเข้าสู่สภาพปกติที่เป็นแหล่งพักพิง ขยายพันธุ์และอนุบาลสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงวิธีการควบคุมน้ำท่วมซึ่งได้แก่:
1. การแยกออกหรือกันออก หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำมักจัดให้มีทางเข้าและทางสัญจรให้ไปถึงเฉพาะบริเวณที่กำหนดไว้ ในขณะเดียวกันก็ออกข้อจำกัดไม่ให้คนเข้าถึงพื้นที่อื่นที่เปราะบาง การออกแบบจัดวางทางเดินไม้สะพานไม้ (boardwalks) หรือทางเดินเฉพาะบนดิน ซึ่งนับเป็นยุทธวิธีการจัดการสงวนรักษาพื้นที่เปราะบางทางนิเวศเอาไว้ รวมทั้งการออกใบอนุญาตที่มีการจำกัดจำนวน
2. การศึกษา ในอดีต พื้นที่ชุ่มน้ำถูกมองว่าเป็นที่ดินที่เปล่าไร้ประโยชน์ การรณรงค์ด้านการศึกษาได้ช่วยให้ความเข้าใจและปรับเปลี่ยนแนวความคิดของสาธารณชนไปในทางดีและถูกต้องขึ้น ทำให้สาธารณชนหันมาสนับสนุนพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่เนื่องจากพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่กระจายในพื้นที่รับน้ำ จึงต้องจัดให้มีไกด์คอยให้คำอธิบายสำหรับประชาชนทั่วไป มีการไปบรรยายให้ความรู้ตามโรงเรียน ทำการติดต่อประสานงานกับสื่อต่างๆ รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำ
ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบางกระสอบ
ประวัติและความเป็นมาของลำพูบางกระสอบ
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม “ลำพูบางกระสอบ” เริ่มขึ้นจากชาวบ้านกลุ่มหนึ่งในตำบลบางกระสอบ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ร่วมกับเพื่อนๆ สังคมออนไลน์บนอินเตอร์เน็ต และ ชาวหอพักจุฬาฯ เมื่อปี 2549 มาช่วยกันถากถางวัชพืชบนพื้นที่จำนวน 3 ไร่เศษ ของกรมป่าไม้ ที่อนุรักษ์ไว้เป็นปอดของกรุงเทพฯ เพื่อปลูกต้นลำพู โดยมุ่งหวังว่าจะเป็นแหล่งพิงพักอาศัยของ “หิ่งห้อย” แต่ครั้งนั้นพวกเขามีแต่แรงกายและความตั้งใจที่จะสร้างบ้านให้หิ่งห้อยด้วยการปลูกต้นไม้ที่ขึ้นได้ดีในพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งก็ได้แก่ ลำพู ลำแพน โกงกาง ประสัก ฯลฯ ครั้นเมื่อถางพื้นที่ 3 ไร่เศษ เสร็จสิ้น จึงไปขอต้นกล้าลำพูจากกรมป่าไม้ ปรากฏว่าทางแปลงเพาะพันธุ์ของกรมป่าไม้เองก็เพิ่งเริ่มต้นเพาะต้นกล้าลำพูยังมีขนาดเล็กมากๆ และพวกเขามีแต่แรงกายและความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเห็นสวนรกร้างกลายเป็นป่าต้นลำพูที่มีหิ่งห้อยระยิบระยับยามค่ำคืน ไม่มีกำลังทุนทรัพย์จากแหล่งใดมาสนับสนุนให้ซื้อหาต้นกล้าลำพูมาปลูกได้ ในที่สุดพื้นที่ที่ช่วยกันถากถางก็กลับมารกเรื้อดังเดิมในเวลาอันรวดเร็ว เหลือไว้แต่ความปรารถนาอันแรงกล้าที่คุกรุ่นอยู่นานถึง 2 ปี
จนกระทั่งปี 2551 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้ตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าขึ้นพวกเรา จึงทำโครงการเสนอขอเงินสนับสนุน พร้อมกับจดทะเบียนเป็นกลุ่มอนุรักษ์อย่างถูกต้อง ในชื่ออย่างเป็นทางการว่า กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม “ปลูกต้นลำพู” ตำบลบางกระสอบ โดยมี นางรุจิเรข พลับจ่าง เป็นประธาน ประกอบด้วยกรรมการจากชาวบ้านหมู่บ้านต่างๆ ในตำบล และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
ลักษณะชุมชน อาชีพ และจำนวนประชากรหรือจำนวนเครือข่ายชุมชน
สำหรับลักษณะชุมชนของตำบลบางกระสอบนั้น แต่เดิมประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวนมะพร้าว สวนผลไม้ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป พื้นที่สวนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารก็เสื่อมโทรมลง กรอปกับคนรุ่นใหม่ต่างหันไปประกอบอาชีพอื่นๆ อาทิ รับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม บริษัท ห้างร้าน ฯลฯ จึงทำให้พื้นที่สวนผลไม้ สวนมะพร้าวเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ จนถึงปี พ.ศ.2544 สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแสดงเจตจำนงค์ขอรับซื้อที่ดินที่เจ้าของอยากขาย เพื่ออนุรักษ์พื้นที่สีเขียวไว้เป็นปอดของกรุงเทพฯ ในพื้นที่ 6 ตำบล กระเพาะหมูของอำเภอพระประแดง อันได้แก่ ตำบลทรงคะนอง บางยอ บางกระสอบ บางน้ำผึ้ง บางกะเจ้า และ บางกอบัว นั้นมีพื้นที่รวมประมาณ 12,000 ไร่ สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติซื้อไว้คิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ คือประมาณ 1,200 ไร่ และต่อมาในปี พ.ศ.2549 พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกรมป่าไม้
สำหรับตำบลบางกระสอบ มีประชากรทั้งสิ้น 2,700-3,000 คน มีเครือข่ายชุมชน อาทิ กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม “ลำพูบางกระสอบ” กลุ่มปลูกผักไร้สาร หอวัฒนธรรมวัดบางกระสอบ กลุ่มสตรี โรงเรียนวัดบางกระสอบ ฯลฯ
ความเป็นมาในการดำเนินการอนุรักษ์
หลังจากได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ โดยสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ ให้ใช้พื้นที่ 3 แปลง คือ แปลงที่ 22241, 22242 และ 5315 (หมู่บ้านหิ่งห้อย) แปลงที่ 33421, 1841 4510 (ลานลำพู) และ แปลงที่ 38473 เขียนโครงการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ก็ได้รับอนุมัติเงินทั้งสิ้น 2,500,000 บาท แบ่งออกเป็น 4 งวด กลุ่มลำพูบางกระสอบได้เริ่มดำเนินการกับพื้นที่รกร้างทั้ง 3 แปลง ด้วยการถากถางวัชพืช ขุดลอกร่องสวนเดิมเพื่อให้น้ำไหลเวียนถ่ายเทได้ดี รักษาต้นไม้พื้นถิ่นเดิมที่มีอยู่เอาไว้ แล้วจัดซื้อกล้าไม้ ลำพู ลำแพน โกงกาง มาปลูกเสริมเป็นจำนวนมาก ประมาณ 2,000 ต้น จัดสร้าง ลานลำพู เพื่อรองรับกิจกรรมของชุมชน รวมทั้งกลุ่มกิจกรรมจากสถาบันการศึกษา องค์กรต่างๆ และบริษัทห้างร้านทั้งหลาย ที่ผ่านมา 2 ปี มีกลุ่มกิจกรรมลงพื้นที่ มากกว่า 50 กลุ่ม ดังรายละเอียดและภาพปรากฏอยู่ในเวบไซต์ของกลุ่มลำพูบางกระสอบ
วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินงานอนุรักษ์
นอกจากจะมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างระบบนิเวศพื้นที่ชุมน้ำให้สมบูรณ์เป็นที่อยู่อาศัย ขยายพันธุ์ของหิ่งห้อยแล้ว ยังจะทำให้ “ลำพูบางกระสอบ” เป็นสถานที่เรียนรู้ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์แบบของพื้นที่ 6 ตำบลกระเพาะหมู อ.พระประแดง ที่ผู้คน เยาวชน นักเรียน นักศึกษา สามารถเข้ามาเรียนรู้พันธุ์ไม้ท้องถิ่น สัตว์ท้องถิ่นต่างๆ ที่มีในปัจจุบัน และที่เคยมีอยู่ในอดีต รวมทั้งนกท้องถิ่น และนกอพยพ ที่แวะเวียนผ่านมาพักบริเวณพื้นที่สีเขียวกระเพาะหมูด้วย
พวกเราเชื่อมั่นว่า ในระยะเวลา 3-5 ปี ข้างหน้า “โครงการสร้างและศึกษาระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบางกระสอบ” จะกลายเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ และชมหิ่งห้อย ที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด
สภาพป่าและพื้นที่ดำเนินงาน
แต่เดิมบริเวณนี้เป็นพื้นที่สวนมะพร้าวและสวนผลไม้ เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติซื้อที่ดินเหล่านี้ไว้ ก็มิได้ดูแลให้คงสภาพสวนที่มีการขจัดวัชพืช และลอกดินในท้องร่องขึ้น จึงทำให้ร่องน้ำตื้นเขิน มีต้นไม้พื้นถิ่นเกิดขึ้นเองอยู่กระจัดกระจาย ที่เห็นมากคือ ต้นจาก ปอทะเล และตีนเป็ดน้ำ ส่วนต้นลำพูในพื้นที่มีต้นขนาดใหญ่ 4-5 ต้น จากทางเข้าลานลำพู และบริเวณภายในลาน พื้นที่ที่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม “ลำพูบางกระสอบ” ดำเนินการนั้น จำนวนทั้งสิ้น 42 ไร่ มีถนนซอยเพชรหึงษ์ 20 และคลองลัดบางยอ พาดผ่าน จึงสะดวกในการเข้าถึง และลำคลองลัดบางยออันเงียบสงบ ยังคงความเป็นธรรมชาติเดิมๆ อยู่มาก ทั้งยังเป็นคลองที่เหมาะแก่การพายเรือชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน เพราะระยะทางจากพื้นที่แปลงที่เราขนานนามว่า “หมู่บ้านหิ่งห้อย” ไปถึงปากคลอง ไม่ถึง 1 กม. นั้น มีหิ่งห้อยให้ชมกระจัดกระจายทั้งสองฝั่ง
รูปแบบกิจกรรมที่ดำเนินงาน
กิจกรรมของกลุ่มลำพูบางกระสอบคือการรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชุ่มน้ำ ด้วยการปลูกต้นลำพู ลำแพน และโกงกาง ลงไปในพื้นที่ และรักษาสภาพน้ำไม่ให้เน่าเสีย มีการถ่ายเทหมุนเวียน เพื่อให้หอยต่างๆ ในน้ำอุดมสมบูรณ์ เพราะการจะอนุรักษ์และขยายพันธุ์หิ่งห้อยให้เพิ่มปริมาณมากขึ้นได้นั้น จะต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย ผสมพันธุ์ และวางไข่ เนื่องจากหิ่งห้อยวางไข่ในน้ำนิ่ง แล้วฟักเป็นตัวหนอนอาศัยอยู่ในน้ำ 3-6 เดือน แล้วแต่ชนิด กินหอยเล็กๆ เป็นอาหาร เช่น หอยเจดีย์ หอยเชอรี่ ฯลฯ ฉะนั้น หากเกิดน้ำเน่าเสียจนหอยมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ก็ไม่มีแหล่งอาหารของหนอนหิ่งห้อย กิจกรรมหลักอีกอย่าง นอกเหนือจากการปลูกต้นไม้ในระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ คือการเก็บขยะในลำคลองลัดบางยอ ด้วยการรณรงค์ผ่านเยาวชนให้ร่วมกันทำกิจกรรมพายเรือเก็บขยะ ทุกครั้งที่มีกลุ่มกิจกรรมจากสถาบันต่างๆ มาลงพื้นที่ หากมีเวลาพอพวกเราจะขอให้ช่วยกันลงเรือเก็บขยะด้วย ถือเป็นกิจกรรมที่ปลุกจิตสำนึกให้กับเยาวชน
การสนับสนุนจากองค์กรหรือหน่วยงาน
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม “ลำพูบางกระสอบ” ได้รับการสนับสนุนจาก
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)
International Union Consavation of Nature (IUCN)
การประปานครหลวง
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.)
กรมป่าไม้ โดย ศูนย์จัดการพื้นที่สีเขียวเชิงนิเวศ นครเขื่อนขันธ์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
กองทุนพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน
จากปลายปี 2551 ที่เริ่มดำเนินงานปรับปรุงพื้นที่ทำระบบน้ำให้ถ่ายเท หมุนเวียนในพื้นที่ และเริ่มปลูกต้นไม้ ในปีนั้นรอบบริเวณมีหิ่งห้อยอยู่เพียงประปราย แต่ 4 ปีเศษที่ผ่านมา เมื่อความสมบูรณ์ของต้นไม้และน้ำดีขึ้น ปริมาณหิ่งห้อยเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด และหากดำเนินการต่อเนื่องไปได้เต็มพื้นที่ 41ไร่ โครงการนี้จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สามารถชมหิ่งห้อยได้ทั้งทางเรือ (พาย) และเดินชมตามสะพานศึกษาธรรมชาติ ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุดในโครงการ มีการจัดสร้าง ลานลำพู ลานกิจกรรมสำหรับชุมชนและกลุ่มกิจกรรมที่มาเยี่ยมเยือน มี ศาลาต้นไทร ขนาด 6 คูณ 6 และ ศาลาหิ่งห้อย ขนาด 3 คูณ 3 ระเบียงชายคลอง ขนาด 4 คูณ 4 และ ห้องน้ำ 4 ห้อง สามารถรองรับผู้มาเยี่ยมชมได้ระดับหนึ่ง
วิธีการดูแลรักษาป่าหรือฟื้นฟูป่าจากเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
กลุ่มลำพูบางกระสอบ ยึดรูปแบบการฟื้นฟูป่าโดยวิธีธรรมชาติ บนแนวคิดที่ว่าต้นไม้ทุกต้นล้วนสามารถอยู่ร่วมและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ฉะนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มในการดำเนินงาน เราจึงรักษาต้นไม้เดิมทั้งหมดเอาไว้ ถากถางออกไปแต่วัชพืช จัดระบบหมุนเวียนของน้ำธรรมชาติในพื้นที่ แล้วปลูกต้นไม้ (ลำพู และโกงกาง เป็นหลัก) เสริมลงไป จนถึงปัจจุบัน กลุ่มลำพูบางกระสอบ ดำเนินการปลูกต้นลำพูเพื่อสร้างบ้านให้หิ่งห้อยไปแล้วในพื้นที่ 3 แปลง จำนวน 13 ไร่เศษ
กำหนดแนวเขตการดูแลพื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติของกลุ่มลำพูบางกระสอบ
ทางกลุ่มฯ ได้รับอนุญาตให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพื้นที่ จำนวน 17 แปลง รวมพื้นที่ 41 ไร่ 2 งาน 96 ตารางวา มีเอกสารรับรองให้กลุ่มลำพูบางกระสอบมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการสร้างและศึกษาระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบางกระสอบ โดยมี นายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ เป็นผู้เซ็นอนุมัติ
ทางกายภาพของพื้นที่ทั้งหมด 41 ไร่เศษ นั้น นับว่ามีความเหมาะสมต่อการสร้างระบบนิเวศให้สมบูรณ์เพื่อเป็นแหล่งอนุรักษ์หิ่งห้อย และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งทีเดียว เพราะมีถนนซอยเพชรหึงษ์ 20 และคลองลัดบางยอ พาดผ่านพื้นที่ ในอนาคตสามารถจัดให้มีชมหิ่งห้อยได้ทั้งทางบก (เดินชมตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ) และทางน้ำ (พายเรือตามลำคลองลัดบางยอ) ซึ่งในปัจจุบัน มีหิ่งห้อยกระจัดกระจายอยู่ทั้งบนบก และสองฝั่งคลอง และเป็นที่น่ายินดีว่า นอกจากหิ่งห้อยน้ำกร่อย Pteroptyx malacae ที่เป็นชนิดหลักพบได้นับหมื่นตัวที่ “ลำพูบางกระสอบ” แล้ว ยังพบหิ่งห้อยชนิดใหม่ของโลก ที่ค้นพบโดยนักวิจัยไทย ดร.อัญชนา ท่านเจริญ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Luciola aquatilis ซึ่งจากการที่ได้ส่งภาพถ่ายหิ่งห้อยตัวหนึ่งที่จับได้ที่นี่ ส่งไปให้ตรวจ ก็ได้รับคำยืนยันจาก ดร.อัญชนา ว่าเป็นหิ่งห้อยชนิดใหม่จริงๆ จึงนับว่าเป็นจุดเด่นอีกประการหนึ่งที่ควรอนุรักษ์และขยายพันธุ์ให้เพิ่มจำนวนยิ่งๆ ขึ้นไป
กฎเกณฑ์เพื่อการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติของกลุ่ม
กลุ่มเรายึดหลัก “ธรรมชาติดูแลธรรมชาติ” เราเพียงแค่ปลูกต้นไม้ลงไปในสภาพแวดล้อมที่มีต้นไม้ท้องถิ่นอยู่เดิม และปล่อยให้เติบโตขึ้น เอื้อเฟื้อเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน หน้าที่ของพวกเรามีเพียงไม่ดำเนินกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบต่อทรัพยากรโดยรวม ทั้ง ดิน น้ำ อากาศ สัตว์ และพืช เราจะเข้าไปแทรกแซงธรรมชาติเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
แผนงานในอนาคต
ในอนาคตระยะแรกจะมีการสร้างเส้นทางศึกษาธรรมชาติในหมู่บ้านหิ่งห้อย เริ่มจากทางเข้า ผ่านศาลาต้นไทร วกเลียบไปตามริมคลอง ผ่านห้องน้ำ แล้วตีวงอ้อมไปบรรจบกับทางเข้า
ส่วนระยะต่อไปคือการสร้างสะพานข้ามคลองลัดบางยอ เป็นสะพานแขวน ดัดแปลงมาจากสะพานแขวนที่คุ้งกระเบน จากนั้นก็ข้ามไปจัดการเรื่องการหมุนเวียนของน้ำ พร้อมกับปลูกต้นลำพู และต้นไม้ในนิเวศชุ่มน้ำต่างๆ ในพื้นที่อีกฝั่งคลอง
ระยะสุดท้าย คือการสร้างสะพานศึกษาธรรมชาติ อาคารนิทรรศการที่จะจัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบพื้นที่ชุ่มน้ำ ขนาด 9 คูณ 9 เมตร และหอดูนก
สำหรับสะพานศึกษาธรรมชาติที่เลียบริมคลอง และบริเวณที่ผ่านดงต้นจาก จะมีการสาธิตการทำน้ำตาลจากต้นจาก ส่วนด้านหน้าโครงการจะมีซุ้มสำหรับขายผลิตภัณฑ์จากต้นจาก อาทิ น้ำส้มสายชูน้ำตาลจาก ลูกจากสด เชื่อม ลอยแก้ว แส้ปัดยุงจากงวงจาก หมวกใบจาก ฯลฯ ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้จะจุดประกายให้ชาวบ้านที่มีเวลาเป็นผู้เรียนรู้และนำไปผลิต เพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม โดยมีอาจารย์จากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมที่จะลงมาให้ความรู้ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จาก ซึ่งในเรื่องนี้ทางกลุ่มลำพูบางกระสอบจะได้จัดให้กลุ่มแม่บ้านและผู้ที่สนใจได้เรียนรู้ในลำดับต่อไป เพื่อเตรียมไว้รองรับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศแห่งใหม่ที่ชื่อ “ลำพูบางกระสอบ”
ตำนานรักหิ่งห้อยกับลำพูและหิ่งห้อยกับดวงดาว
ตำนานรักหิ่งห้อยกับลำพูและหิ่งห้อยกับดวงดาว

หิ่งห้อยทั่วโลกมีประมาณ
2,000
ชนิด กระจายอยู่ทั่วไป พบมากในเขตร้อนชื้น
จากการสำรวจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พบหิ่งห้อย 21 ชนิด แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่อาศัยใกล้แหล่งน้ำมีวงจรชีวิตช่วงหนึ่งเป็นตัวหนอนอยู่ในน้ำอีกกลุ่มอาศัยอยู่ตามพื้นดินที่แห้ง
จากการศึกษาพบว่าหิ่งห้อยตัวเต็มวัยไม่กินอาหารกินเพียงน้ำค้างที่เกาะอยู่ตามใบไม้
ส่วนในช่วงที่เป็นตัวหนอนจะกิน (หอย, ไส้เดือน,
กิ้งกือและแมลงเล็ก ๆ )
อาหารต่างกันไปในแต่ละชนิดแต่ส่วนใหญ่อาหารของหิ่งห้อยคือหอยชนิดต่าง ๆ
หิ่งห้อยที่เป็นอาหารหิ่งห้อยหลายชนิดเป็นพาหะนำโรคมาสู่คนได้แก่โรคพยาธิใบไม้
โรคเชื้อหุ้มสมองอักเสบ
ในเวลากลางวันหิ่งห้อยจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าหรือวัชพืชที่ชื้นแฉะหรือตามกาบไม้
ซอกไม้ ในเวลากลางคืนจึงบินออกมาจับคู่ผสมพันธุ์วางไข่
วงจรชีวิตของหิ่งห้อย

กระบวนการเกิดแสงของหิ่งห้อย
แสงของหิ่งห้อยเป็นแสงเย็น
เพราะกระบวนการส่องแสงของหิ่งห้อยเกิดความร้อนน้อยมาก หลอดไฟทั่วไปจะเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า
เป็นพลังงานความร้อน 90% อีก 10% เป็นแสงสว่าง แต่หิ่งห้อยจะเปลี่ยนพลังงานเคมีในร่างกายเป็นแสงสว่าง
90% อีก 10% เป็นความร้อน แสงของหิ่งห้อยเกิดจากปฏิกิริยา
ชีวเคมีในร่างกายเริ่มจากสมองหลั่งสารเคมีชื่อ
ไนตริกออกไซด์ส่งสัญญาณไปที่เซลล์ส่วนท้องให้กระตุ้นการทำงนของเอ็มไซม์โดยใช้ออกซิเจนร่วมด้วย
แปลงสารเคมีในเซลล์เกิดเป็นพลังงานแสง
โดยมีเซลล์ประสาททำหน้าที่ควบคุมการกระพริบของแสง
หิ่งห้อยจะกระพริบแสงเวลากลางคืนทุก ๆ 24 ชั่วโมง เป็นประจำ
แม้เราจะจับหิ่งห้อยขังไว้ในที่มืดหากไม่ถึงเวลาหิ่งห้อยก็จะไม่กระพริบแสง
โดยปกติหิ่งห้อยส่องแสงในเวลาโพล้เพล้ และมีรูปแบบการกระพริบแสงถึง 200 แบบ
หิ่งห้อยที่บินส่องแสงมักจะเป็นตัวผู้
ส่วนตัวเมียชอบเกาะนิ่ง ๆ บนใบไม้กิ่งไม้ (หิ่งห้อยตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้
ส่วนใหญ่บินไม่ได้ บางที่เรียกหนอนกระสือ) แสงที่กระพริบใช้สำหรับ
สื่อสารกับเพศตรงข้าม ตัวผู้ใช้เกี้ยวพาราสีตัวเมีย ตัวเมียใช้ตอบรับการเกี้ยวของตัวผู้โดยตัวผู้จะกระพริบก่อน
เมื่อตัวเมียพอใจจะกระพริบแสงตอบเพื่อให้ตัวผู้บินไปหาถูกจังหวะการกระพริบจะต่างกันไปตามชนิดของหิ่งห้อย
ตามปกติชาวบ้านเมื่อเห็นหิ่งห้อยบินออกมากระพริบแสงก็เป็นการส่งสัญญาณว่า
ฤดูร้อนกำลังจะมาเยือนนั่นเอง


การจัดการหิ่งห้อยเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
สิ่งสำคัญในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยการพาชมหิ่งห้อยนั้นสำคัญที่สุด
คือ ต้องให้ชาวบ้านรู้ว่าหิ่งห้อยมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร กินอะไรเป็นอาหาร
ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หิ่งห้อยไม่ชอบเสียงดัง หิ่งห้อยไม่ชอบความสกปรก
ดังนั้นต้องช่วยกันดูแลความสะอาดของแม่น้ำลำคลองถิ่นอาศัยขยายพันธุ์ของหิ่งห้อย
ไม่ฉายไฟ ไม่เขย่าต้นไม้ที่หิ่งห้อยอยู่
และการจัดท่องเที่ยวก็ควรมาจากชาวบ้านในพื้นที่ไม่ใช่มาจากบริษัทท่องเที่ยวและหากมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ดี
ย่อมนำมาซึ่งรายได้แก่ชุมชนเจ้าของพื้นที่ในที่สุด
ข้อควรปฏิบัติในการล่องเรือชมหิ่งห้อย
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวที่สมุทรสงคราม สามารถที่จะเช่าเรือล่องชมหิ่งห้อยได้ตามสถานที่ต่าง ๆ และควรปฏิบัติดังนี้
- ไม่ควรดื่มสุรา หรืออื่นๆ ในระหว่างล่องเรือ เพราะอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้
- ไม่ควรส่งเสียงดัง เพราะหิ่งห้อยจะไม่ชอบเสียงดัง และจะเป็นการรบกวนผู้อื่น โดยเฉพาะชาวบ้านซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นๆ
- ควรนั่งเรือตรงกลาง ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
- ใส่ชูชีพทุกครั้ง และควรใส่ตลอดเวลา ไม่ถอดออกระหว่างการเดินทาง
- ไม่ทิ้งเศษอาหาร หรือขยะอื่น ๆ ลงในแม่น้ำ ลำคลอง
- ไม่จับหรือทำสิ่งใดที่เป็นการรบกวนหิ่งห้อยโดยเด็ดขาด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ให้บริการและผู้ขับเรือโดยเคร่งครัด
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวที่สมุทรสงคราม สามารถที่จะเช่าเรือล่องชมหิ่งห้อยได้ตามสถานที่ต่าง ๆ และควรปฏิบัติดังนี้
- ไม่ควรดื่มสุรา หรืออื่นๆ ในระหว่างล่องเรือ เพราะอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้
- ไม่ควรส่งเสียงดัง เพราะหิ่งห้อยจะไม่ชอบเสียงดัง และจะเป็นการรบกวนผู้อื่น โดยเฉพาะชาวบ้านซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นๆ
- ควรนั่งเรือตรงกลาง ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
- ใส่ชูชีพทุกครั้ง และควรใส่ตลอดเวลา ไม่ถอดออกระหว่างการเดินทาง
- ไม่ทิ้งเศษอาหาร หรือขยะอื่น ๆ ลงในแม่น้ำ ลำคลอง
- ไม่จับหรือทำสิ่งใดที่เป็นการรบกวนหิ่งห้อยโดยเด็ดขาด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ให้บริการและผู้ขับเรือโดยเคร่งครัด

หิ่งห้อย
มีชื่อสามัญเป็นภาษาอังกฤษว่า Firefly หิ่งห้อย
แมลงปีกแข็งที่สามารถเรืองแสงได้ในเวลากลางคืน มักอาศัยใกล้แหล่งน้ำที่สะอาดตามต้นไม้ริมน้ำ
เช่น ต้นกกและต้นลำพู

เพราะอะไรหิ่งห้อยจึงกะพริบ
เมื่อหิ่งห้อยหนุ่มพบหิ่งห้อยสาวที่หมายปอง มันก็จะกระพริบแสงเป็นจังหวะของมัน ถ้าหิ่งห้อยสาวพอใจก็จะกระพริบตอบด้วยจังหวะเดียวกัน จากนั้นทั้งสองก็ผสมพันธ์ เมื่อหิ่งห้อยสาวตั้งท้องและวางไข่มันก็จะตายจากไปแสงของหิ่งห้อยเกิดจากสาร เรืองแสงในตัวของมัน ซึ่งเปล่งออกมาบริเวณปลายปล้องท้อง และในอดีตคนเรายังใช้แสงหิ่งห้อยเป็นเครื่องนำทางสร้างความสวยงามให้กับธรรมชาติในยามค่ำคืน


เพราะอะไรหิ่งห้อยจึงกะพริบ
เมื่อหิ่งห้อยหนุ่มพบหิ่งห้อยสาวที่หมายปอง มันก็จะกระพริบแสงเป็นจังหวะของมัน ถ้าหิ่งห้อยสาวพอใจก็จะกระพริบตอบด้วยจังหวะเดียวกัน จากนั้นทั้งสองก็ผสมพันธ์ เมื่อหิ่งห้อยสาวตั้งท้องและวางไข่มันก็จะตายจากไปแสงของหิ่งห้อยเกิดจากสาร เรืองแสงในตัวของมัน ซึ่งเปล่งออกมาบริเวณปลายปล้องท้อง และในอดีตคนเรายังใช้แสงหิ่งห้อยเป็นเครื่องนำทางสร้างความสวยงามให้กับธรรมชาติในยามค่ำคืน

หิ่งห้อยทำไมถึงอยู่ต้นลำพู
หิ่งห้อย ไม่ได้อยู่เพียงแต่ต้นลำพู เพียงเพราะว่า หิ่งห้อยตัวเต็มวัยไม่กินอาหารเพียงแต่กินน้ำหรือน้ำค้างที่เกาะอยู่ตาม ใบไม้ ต้นลำพูเป็นพืชที่มีขนที่ใบจึงทำให้น้ำค้างเกาะอยู่จำนวนมาก ซึ่งเป็นอาหารของหิ่งห้อยอย่างดี
เรืองแสงสีสวยงดงามที่บริเวณส่วนก้นของมันได้อย่างไร ... จริงไหม
หิ่งห้อย เป็นแมลงประเภทที่ผลิตแสงได้ (Light-producing insects) แสงของหิ่งห้อยเกิดจากปฏิกริยาทางเคมีของสารที่ชื่อว่า Luciferin ซึ่งอยู่ในอวัยวะผลิตแสง ทำปฏิกริยากับออกซีเจนในหลอดลม แสงของหิ่งห้อยที่เราเห็นมีความสว่างตั้งแต่ 1/50 ถึง 1/400 แรงเทียน ซึ่งถ้านำมารวมกันมากๆก็สามารถใช้อ่านหนังสือในคืนเดือนมืดได้ทีเดียว
หิ่งห้อยทำไมจึงมีแสง
แสงที่เกิดจากหิ่งห้อยเป็นแสงที่ไม่มีความร้อน เราเรียกแสงที่เกิดขึ้นโดยปราศจากความร้อนว่า แสงนวล (Luminescence) แสงในตัว หิ่งห้อยเกิดจากสารลูซิเฟอริน (Luciferin) ซึ่งจะรวมตัวกับออกซิเจนในขณะที่เกิดปฏิกิริยาแสงสว่าง แต่ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีสารลูซิเฟอเรส (Luciferase) อยู่ด้วย ลูซิเฟอเรสทำหน้าที่เป็นตัวช่วย(catalyst) ให้เกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้นเท่านั้นปริมาณแสงสว่างที่เกิดจากหิ่งห้อยมีน้อยมาก คือ เพียงประมาณ
1 ใน 1,000 ของแสงสว่างจากเทียนไขธรรมดา เราสามารถประดิษฐ์แสงแบบนี้ได้ในห้องทดลอง แต่สารทั้งสองคือ ลูซิเฟอริน และลูซิเฟอเรส ต้องได้มาจากตัวหิ่งห้อยโดยตรง เพราะนักเคมียังไม่สามารถสังเคราะห์สารทั้งสองนี้ได้
สงสัยไหมทำไมหิ่งห้อยถึงมีแสง
หิ่งห้อยมีแสงในตัวเพราะมีสารพิเศษวันนี้ได้คำตอบแล้วว่าทำไมหิ่งห้อยถึงมีแสง แล้วตัวผู้กับตัวเมียอันไหนแสงสวยกว่ากัน หิ่งห้อยน้ำจืดกับหิ่งห้อยน้ำกร่อยก็ตัวไม่เท่ากัน
แสงของหิ่งห้อยเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของสาร Luciferin ซึ่งอยู่ในอวัยวะทำแสง ทำปฏิกิริยาโดยใช้หลอดลม มีเอนไซม์ Luciferase เป็นตัวกระตุ้นและมีสาร Andenosine triphosphate (ATP) เป็นตัวให้พลังงาน สำหรับเรื่องความสวนงามของการกระพริบแสงแล้วัวผู้จะสวยกว่าเพราะต้องล่อตัวเมียมาผสมพันธุ์
วงจรชีวิตของหิ่งห้อย
เป็นไข่ 9 วัน เป็นหนอน 79 วัน ดักแด้ 6 วัน โตไม่เกิน 1 เดือนก็ตาย สงสัยเลยถามทำไมชีวิตช่วงเป็นหนอนนานกว่าผีเสื้อ เพราะว่าร่างกายของหิ่งห้อยมีเปลือกแข็งห่อหุ้มร่างกายทำให้ต้องใช้เวลาในการพัฒนานาน ตอนเป็นหนอนดักแด้อาศัยอยู่ในดิน และจะกินไข่ของหอยเชอรี่(หิ่งห้อยน้ำกร่อยเท่านั้นนะ)
หิ่งห้อยชอบอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ หรือตามพื้นที่ชุ่มชื้นใกล้หนองน้ำ หรือลำธารที่มีน้ำใสสะอาดในเวลากลางวันหิ่งห้อยจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าหรือวัชพืช หรือหลบตามกาบไม้ซอกไม้ต่างๆ ในเวลากลางคืนจึงบินออกมาจับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ และที่สำคัญตรงนั้นต้องเป็นน้ำนิ่งไม่มีมลพิษจากสิ่งแวดล้อม เช่น ตามทุ่งนาและบ่อน้ำตามชนบท บางชนิดอยู่ตามดินในป่าและตามป่าชายเลน ต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบเกาะกระพริบแสง ไม่ไช่ต้น ลำพู อย่างเดียวส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่มีใบโปร่ง ในธรรมชาติพบเกาะอยู่ตาม ต้นแสม ต้นโกงกาง ต้นโพทะเลโดยเฉพาะป่าชายเลนที่มีแหล่งอาหารสมบูรณ์ โดยหิ่งห้อยจะกินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้รวมทั้งต้นไม้ที่อยู่ตามริมน้ำต่างๆ
แสงที่เกิดจากหิ่งห้อยเป็นแสงที่ไม่มีความร้อน เราเรียกแสงที่เกิดขึ้นโดยปราศจากความร้อนว่า แสงนวล (Luminescence) แสงในตัว หิ่งห้อยเกิดจากสารลูซิเฟอริน (Luciferin) ซึ่งจะรวมตัวกับออกซิเจนในขณะที่เกิดปฏิกิริยาแสงสว่าง แต่ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีสารลูซิเฟอเรส (Luciferase) อยู่ด้วย ลูซิเฟอเรสทำหน้าที่เป็นตัวช่วย(catalyst) ให้เกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้นเท่านั้นปริมาณแสงสว่างที่เกิดจากหิ่งห้อยมีน้อยมาก คือ เพียงประมาณ
1 ใน 1,000 ของแสงสว่างจากเทียนไขธรรมดา เราสามารถประดิษฐ์แสงแบบนี้ได้ในห้องทดลอง แต่สารทั้งสองคือ ลูซิเฟอริน และลูซิเฟอเรส ต้องได้มาจากตัวหิ่งห้อยโดยตรง เพราะนักเคมียังไม่สามารถสังเคราะห์สารทั้งสองนี้ได้
สงสัยไหมทำไมหิ่งห้อยถึงมีแสง
หิ่งห้อยมีแสงในตัวเพราะมีสารพิเศษวันนี้ได้คำตอบแล้วว่าทำไมหิ่งห้อยถึงมีแสง แล้วตัวผู้กับตัวเมียอันไหนแสงสวยกว่ากัน หิ่งห้อยน้ำจืดกับหิ่งห้อยน้ำกร่อยก็ตัวไม่เท่ากัน
แสงของหิ่งห้อยเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของสาร Luciferin ซึ่งอยู่ในอวัยวะทำแสง ทำปฏิกิริยาโดยใช้หลอดลม มีเอนไซม์ Luciferase เป็นตัวกระตุ้นและมีสาร Andenosine triphosphate (ATP) เป็นตัวให้พลังงาน สำหรับเรื่องความสวนงามของการกระพริบแสงแล้วัวผู้จะสวยกว่าเพราะต้องล่อตัวเมียมาผสมพันธุ์
วงจรชีวิตของหิ่งห้อย
เป็นไข่ 9 วัน เป็นหนอน 79 วัน ดักแด้ 6 วัน โตไม่เกิน 1 เดือนก็ตาย สงสัยเลยถามทำไมชีวิตช่วงเป็นหนอนนานกว่าผีเสื้อ เพราะว่าร่างกายของหิ่งห้อยมีเปลือกแข็งห่อหุ้มร่างกายทำให้ต้องใช้เวลาในการพัฒนานาน ตอนเป็นหนอนดักแด้อาศัยอยู่ในดิน และจะกินไข่ของหอยเชอรี่(หิ่งห้อยน้ำกร่อยเท่านั้นนะ)
หิ่งห้อยชอบอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ หรือตามพื้นที่ชุ่มชื้นใกล้หนองน้ำ หรือลำธารที่มีน้ำใสสะอาดในเวลากลางวันหิ่งห้อยจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าหรือวัชพืช หรือหลบตามกาบไม้ซอกไม้ต่างๆ ในเวลากลางคืนจึงบินออกมาจับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ และที่สำคัญตรงนั้นต้องเป็นน้ำนิ่งไม่มีมลพิษจากสิ่งแวดล้อม เช่น ตามทุ่งนาและบ่อน้ำตามชนบท บางชนิดอยู่ตามดินในป่าและตามป่าชายเลน ต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบเกาะกระพริบแสง ไม่ไช่ต้น ลำพู อย่างเดียวส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่มีใบโปร่ง ในธรรมชาติพบเกาะอยู่ตาม ต้นแสม ต้นโกงกาง ต้นโพทะเลโดยเฉพาะป่าชายเลนที่มีแหล่งอาหารสมบูรณ์ โดยหิ่งห้อยจะกินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้รวมทั้งต้นไม้ที่อยู่ตามริมน้ำต่างๆ
คุณสมบัติของหิ่งห้อย
( มนุษย์ต้องประดิษฐ์หลอดไฟให้แสงสว่าง แต่หิ่งห้อยนั้นสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวมันเอง)
1. แสงของหิ่งห้อยนั้น มีระดับแสงที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ และมีลักษณะเป็นแสงเย็น ซึ่งมีพลังงานความร้อนเกิดขึ้นเพียง 10% จึงต่างจากหลอดไฟทั่วไปที่ปล่อยพลังงานความร้อนออกมาถึง 95% จึงได้มีผู้ที่พยายามศึกษาปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในหิ่งห้อย เพื่อออกแบบการผลิตแสง ที่ไม่สิ้นเปลืองขึ้นมาใช้ในอนาคต
2. หิ่งห้อยจะมีการกะพริบแสงทุก ๆ 24 ชั่วโมง เหมือนมันมีนาฬิกาใจในตัว เพราะเวลาที่เรานำหิ่งห้อยมาขังไว้ในห้องมืดที่ไม่มีแสงเลย ก็จะเห็นว่า ในทุก ๆ 24 ชั่วโมงมันจะกะพริบแสง ทั้ง ๆ ที่มันไม่รู้เลยว่า ขนาดนั้นเป็นเวลาอะไร
3. หิ่งห้อยมีเซลล์ สองเซลล์ที่ใช้ในการสื่อสารซึ่งมีสองเซลล์คือ เซลล์ประสาท(octopamine) และเซลล์แสง (phtocyte) ซึ่งสามารถใช้ในการติดต่อสื่อสารกันด้วยแก๊ส No
ซึ่งในตัวหิ่งห้อยก็มีอยู่เช่นเดียวกัน เพื่อจะได้ติดต่อสื่อสารกับตัวอื่น ๆได้
4. แสงจากหิ่งห้อยสามารถใช้เป็นตะเกียง ให้แสงสว่างได้เพราะในอดีตคนจีนโบราณ
และคนบราซิลที่ยากจนมักจะจับหิ่งห้อยใส่ในขวดแก้วเพื่อใช้เป็นตะเกียงพบว่าหิ่งห้อยที่โตเต็มที่ประมาณ 6 ตัวสามารถให้แสงสว่างที่เพียงพอ เหมาะสำหรับการอ่านหนังสือในเวลากลางคืนได้ คนญี่ปุ่นในสมัยก่อนก็นิยมใช้ตะเกียงหิ่งห้อยเช่นเดียวกัน
5. นอกจากจะนำมาใช้เป็นตะเกียงแล้ว ชาวบ้านที่ยากจน ก็นิยมจับหิ่งห้อยมาใส่กรงกระดาษเล็ก ๆ เพื่อนำมาติดเป็นตุ้มหู
( มนุษย์ต้องประดิษฐ์หลอดไฟให้แสงสว่าง แต่หิ่งห้อยนั้นสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวมันเอง)
1. แสงของหิ่งห้อยนั้น มีระดับแสงที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ และมีลักษณะเป็นแสงเย็น ซึ่งมีพลังงานความร้อนเกิดขึ้นเพียง 10% จึงต่างจากหลอดไฟทั่วไปที่ปล่อยพลังงานความร้อนออกมาถึง 95% จึงได้มีผู้ที่พยายามศึกษาปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในหิ่งห้อย เพื่อออกแบบการผลิตแสง ที่ไม่สิ้นเปลืองขึ้นมาใช้ในอนาคต
2. หิ่งห้อยจะมีการกะพริบแสงทุก ๆ 24 ชั่วโมง เหมือนมันมีนาฬิกาใจในตัว เพราะเวลาที่เรานำหิ่งห้อยมาขังไว้ในห้องมืดที่ไม่มีแสงเลย ก็จะเห็นว่า ในทุก ๆ 24 ชั่วโมงมันจะกะพริบแสง ทั้ง ๆ ที่มันไม่รู้เลยว่า ขนาดนั้นเป็นเวลาอะไร
3. หิ่งห้อยมีเซลล์ สองเซลล์ที่ใช้ในการสื่อสารซึ่งมีสองเซลล์คือ เซลล์ประสาท(octopamine) และเซลล์แสง (phtocyte) ซึ่งสามารถใช้ในการติดต่อสื่อสารกันด้วยแก๊ส No
ซึ่งในตัวหิ่งห้อยก็มีอยู่เช่นเดียวกัน เพื่อจะได้ติดต่อสื่อสารกับตัวอื่น ๆได้
4. แสงจากหิ่งห้อยสามารถใช้เป็นตะเกียง ให้แสงสว่างได้เพราะในอดีตคนจีนโบราณ
และคนบราซิลที่ยากจนมักจะจับหิ่งห้อยใส่ในขวดแก้วเพื่อใช้เป็นตะเกียงพบว่าหิ่งห้อยที่โตเต็มที่ประมาณ 6 ตัวสามารถให้แสงสว่างที่เพียงพอ เหมาะสำหรับการอ่านหนังสือในเวลากลางคืนได้ คนญี่ปุ่นในสมัยก่อนก็นิยมใช้ตะเกียงหิ่งห้อยเช่นเดียวกัน
5. นอกจากจะนำมาใช้เป็นตะเกียงแล้ว ชาวบ้านที่ยากจน ก็นิยมจับหิ่งห้อยมาใส่กรงกระดาษเล็ก ๆ เพื่อนำมาติดเป็นตุ้มหู

ความลับของหิ่งห้อย
ทำไมหิ่งห้อยต้องอยู่ใต้ต้นลำภู
เคยสงสัยไหมว่าทำไมใครๆถึงพากันคิดว่า
หิ่งห้อยมักจะอยู่ใต้ต้น ลำภู เท่านั้น เอ๊ะ ! หรือว่าจริงๆแล้ว
หิ่งห้อยก็อยู่ในทุกๆที่เพียงแต่เราไม่เคยสังเกตมันเท่านั้นเอง
จริงๆแล้วคำตอบของมันก็เพราะ หิ่งห้อยคืออะไร
หิ่งห้อย มีชื่อสามัญเป็นภาษาอังกฤษว่า Firefly หิ่งห้อย แมลงปีกแข็งที่สามารถเรืองแสงได้ในเวลากลางคืน มักอาศัยใกล้แหล่งน้ำที่สะอาดตามต้นไม้ริมน้ำ เช่น ต้นกกและต้นลำพู
เพราะอะไรหิ่งห้อยจึงกะพริบ
เมื่อหิ่งห้อยหนุ่มพบหิ่งห้อยสาวที่หมายปอง มันก็จะกระพริบแสงเป็นจังหวะของมัน ถ้าหิ่งห้อยสาวพอใจก็จะกระพริบตอบด้วยจังหวะเดียวกัน จาก นั้นทั้งสองก็ผสมพันธ์ เมื่อหิ่งห้อยสาวตั้งท้องและวางไข่มันก็จะตายจากไปแสงของหิ่งห้อยเกิดจากสาร เรืองแสงในตัวของมัน ซึ่งเปล่งออกมาบริเวณปลายปล้องท้อง และในอดีตคนเรายังใช้แสงหิ่งห้อยเป็นเครื่องนำทาง
สร้างความสวยงามให้กับธรรมชาติในยามค่ำคืน
หิ่งห้อยทำไมถึงอยู่ต้นลำพู
หิ่งห้อย ไม่ได้อยู่เพียงแต่ต้นลำพู เพียงเพราะว่า หิ่งห้อยตัวเต็มวัยไม่กินอาหารเพียงแต่กินน้ำหรือน้ำค้างที่เกาะอยู่ตาม ใบไม้ ต้นลำพูเป็นพืชที่มีขนที่ใบจึงทำให้น้ำค้างเกาะอยู่จำนวนมาก ซึ่งเป็นอาหารของหิ่งห้อยอย่างดี
หิ่งห้อยไทยชอบอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ หรือตามพื้นที่ชุ่มชื้นใกล้หนองน้ำ หรือลำธารที่มี---น้ำใสสะอาด--โดยเฉพาะป่าชายเลนที่มีแหล่งอาหารสมบูรณ์ เพราะลูกหิ่งห้อยเป็นหนอนตัวน่าเกลียดในน้ำ จับสัตว์น้ำอื่นกิน
ประเทศอื่นๆที่มีหิ่งห้อย ในยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกา และอาฟริกา คงจะไม่มีต้นลำพูเหมือนบ้านเราแต่อาจจะมีต้นโกงกางบ้าง..ต้นไม้ขึ้นใกล้น้ำ-ชนิดอื่นๆ-บ้าง
เคยเห็นหิ่งห้อยเป็นพันๆตัวในเวลากลางคืนที่ริมพรมแดนไทย-พม่าด้านที่ไม่ติดกับแม่น้ำด้วยซ้ำไปเพียงแต่มีคลองน้ำใสเล็กๆไหลผ่าน..และอาจจะมีสระเลี้ยงปลาที่สะอาดจากน้ำธรรมชาติ
และแถวนั้นไม่มีต้นลำพูและโกงกาง แน่นอน(เพราะน้ำจืดสนิท-ไม่ใช่น้ำกร่อย)
จึงยืนยันได้ว่า..ต้นลำพูและหิ่งห้อย..เป็นความบังเอิญหรือความจำเป็นของชาวประชาหิ่งห้อยแถวอัมพวาเท่านั้นธรรมชาติของหิ่งห้อย ในเวลากลางวันหิ่งห้อยจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าหรือวัชพืช หรือหลบตามกาบไม้ซอกไม้ต่างๆที่สำคัญ บริเวณนั้นต้องไม่มีมลพิษจากสิ่งแวดล้อมมากมายนักจึงเป็นตัวชี้อันหนึ่งว่า..ถ้ามีหิ่งห้อย สภาพแวดล้อมก็ยังดีอยู่..แต่คงไม่ใช่เอาเรื่องนี้ เพียงเรื่องเดียวมาเป็นเครื่องวัดระบบนิเวศน์ เพราะ จริงๆแล้ววัฏจักรของหิ่งห้อยมีมากกว่านั้นมากมาย
หิ่งห้อย มีชื่อสามัญเป็นภาษาอังกฤษว่า Firefly หิ่งห้อย แมลงปีกแข็งที่สามารถเรืองแสงได้ในเวลากลางคืน มักอาศัยใกล้แหล่งน้ำที่สะอาดตามต้นไม้ริมน้ำ เช่น ต้นกกและต้นลำพู
เพราะอะไรหิ่งห้อยจึงกะพริบ
เมื่อหิ่งห้อยหนุ่มพบหิ่งห้อยสาวที่หมายปอง มันก็จะกระพริบแสงเป็นจังหวะของมัน ถ้าหิ่งห้อยสาวพอใจก็จะกระพริบตอบด้วยจังหวะเดียวกัน จาก นั้นทั้งสองก็ผสมพันธ์ เมื่อหิ่งห้อยสาวตั้งท้องและวางไข่มันก็จะตายจากไปแสงของหิ่งห้อยเกิดจากสาร เรืองแสงในตัวของมัน ซึ่งเปล่งออกมาบริเวณปลายปล้องท้อง และในอดีตคนเรายังใช้แสงหิ่งห้อยเป็นเครื่องนำทาง
สร้างความสวยงามให้กับธรรมชาติในยามค่ำคืน
หิ่งห้อยทำไมถึงอยู่ต้นลำพู
หิ่งห้อย ไม่ได้อยู่เพียงแต่ต้นลำพู เพียงเพราะว่า หิ่งห้อยตัวเต็มวัยไม่กินอาหารเพียงแต่กินน้ำหรือน้ำค้างที่เกาะอยู่ตาม ใบไม้ ต้นลำพูเป็นพืชที่มีขนที่ใบจึงทำให้น้ำค้างเกาะอยู่จำนวนมาก ซึ่งเป็นอาหารของหิ่งห้อยอย่างดี
หิ่งห้อยไทยชอบอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ หรือตามพื้นที่ชุ่มชื้นใกล้หนองน้ำ หรือลำธารที่มี---น้ำใสสะอาด--โดยเฉพาะป่าชายเลนที่มีแหล่งอาหารสมบูรณ์ เพราะลูกหิ่งห้อยเป็นหนอนตัวน่าเกลียดในน้ำ จับสัตว์น้ำอื่นกิน
ประเทศอื่นๆที่มีหิ่งห้อย ในยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกา และอาฟริกา คงจะไม่มีต้นลำพูเหมือนบ้านเราแต่อาจจะมีต้นโกงกางบ้าง..ต้นไม้ขึ้นใกล้น้ำ-ชนิดอื่นๆ-บ้าง
เคยเห็นหิ่งห้อยเป็นพันๆตัวในเวลากลางคืนที่ริมพรมแดนไทย-พม่าด้านที่ไม่ติดกับแม่น้ำด้วยซ้ำไปเพียงแต่มีคลองน้ำใสเล็กๆไหลผ่าน..และอาจจะมีสระเลี้ยงปลาที่สะอาดจากน้ำธรรมชาติ
และแถวนั้นไม่มีต้นลำพูและโกงกาง แน่นอน(เพราะน้ำจืดสนิท-ไม่ใช่น้ำกร่อย)
จึงยืนยันได้ว่า..ต้นลำพูและหิ่งห้อย..เป็นความบังเอิญหรือความจำเป็นของชาวประชาหิ่งห้อยแถวอัมพวาเท่านั้นธรรมชาติของหิ่งห้อย ในเวลากลางวันหิ่งห้อยจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าหรือวัชพืช หรือหลบตามกาบไม้ซอกไม้ต่างๆที่สำคัญ บริเวณนั้นต้องไม่มีมลพิษจากสิ่งแวดล้อมมากมายนักจึงเป็นตัวชี้อันหนึ่งว่า..ถ้ามีหิ่งห้อย สภาพแวดล้อมก็ยังดีอยู่..แต่คงไม่ใช่เอาเรื่องนี้ เพียงเรื่องเดียวมาเป็นเครื่องวัดระบบนิเวศน์ เพราะ จริงๆแล้ววัฏจักรของหิ่งห้อยมีมากกว่านั้นมากมาย

ชนิดหิ่งห้อยที่มีอยู่ในสวนลำพูบางกระสอบ
หิ่งห้อยน้ำจืด ชนิดใหม่ของโลก
Luciola aquatilis

นักวิจัยไทยค้นพบหิ่งห้อยชนิดใหม่ของโลก เอกลักษณ์เด่นคือ ระยะตัวหนอนมีรูปร่างที่แตกต่างกันถึงสามแบบ ส่วนการกะพริบแสงไว้สื่อสารกันในช่วงผสมพันธุ์ มีมากถึงสี่แบบ ระบุขณะนี้สามารถคิดค้นเทคนิคการเพาะเลี้ยงได้สำเร็จ เล็งจดสิทธิบัตร เชื่อเป็นประโยชน์ด้านการศึกษา และพัฒนาเป็นยารักษาโรคหอบหืดในอนาคต รวมทั้งการอนุรักษ์หิ่งห้อยได้อย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดเสวนาเรื่อง "การถอดรหัสงานวิจัยหิ่งห้อย ปริศนาการกะพริบแสงสู่ความสำเร็จการเพาะเลี้ยง" โดย น.ส.อัญชนา ท่านเจริญ อาจารย์ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้บรรยาย ในฐานะผู้ทำการศึกษาวิจัยด้านชีววิทยา และพฤติกรรมการผสมพันธุ์ของหิ่งห้อยน้ำจืด ภายใต้การสนับสนุนของโครงการปริญญาเอกกาญจนภิเษก (คปก.) และภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
น.ส.อัญชนากล่าวว่า จากการศึกษาหิ่งห้อยน้ำจืดของประเทศไทยในช่วงกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ได้ค้นพบหิ่งห้อยน้ำจืดชนิดใหม่ของโลก และตั้งชื่อว่า Luciola aquatilis ซึ่งเดิมมีความเข้าใจว่าเป็นหิ่งห้อยอีกชนิดหนึ่ง ที่พบเห็นกันทั่วไป แต่เมื่อได้ศึกษาค้นคว้า ในส่วนของการผสมพันธุ์อย่างจริงจัง ปรากฏว่าเป็นหิ่งห้อยที่มีรูปร่าง และพฤติกรรมน่าสนใจ แตกต่างจากหิ่งห้อยชนิดอื่นๆ โดยสามารถพบเห็นได้ตามแหล่งน้ำจืด ที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์ อีกทั้งผลการเพาะเลี้ยงในห้องทดลองพบว่า มีอัตราการรอดสูง แต่จะต้องเร่งศึกษาและพัฒนาเทคนิคอื่นๆ เพิ่มเติม ก่อนยื่นจดสิทธิบัตรการเพาะเลี้ยงหิ่งห้อยในอนาคต
นักวิจัย ผู้ค้นพบหิ่งห้อยชนิดใหม่ของโลก กล่าวว่า จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของหิ่งห้อยชนิดนี้คือ บริเวณโคนปีกมีสีน้ำตาลเข้มกว่าปีกส่วนอื่นๆ ส่วนความพิเศษในช่วงระยะตัวหนอนนั้น มีรูปร่างถึงสามแบบ โดยเฉพาะการกะพริบแสงเพื่อถ่ายทอดภาษารัก มีมากถึงสี่แบบคือ ช่วงแต่งตัว ช่วงหาคู่ ช่วงเกี้ยวพาราสี และช่วงผสมพันธุ์ ขณะที่หิ่งห้อยในแถบยุโรปและอเมริกา มีการกะพริบแสงเพียงแบบเดียว
"หิ่งห้อยตัวผู้
จะกะพริบแสงถี่เป็นจังหวะต่อเนื่อง เพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมีย
หากตัวเมียกะพริบแสงตอบ หิ่งห้อยตัวผู้จะเข้ามาขี่หลังตัวเมียเพื่อจับจอง
พร้อมทั้งเริ่มกะพริบแสงช้าลง เมื่อผสมพันธุ์ทั้งตัวผู้
และตัวเมียจะหันก้นชนกัน ช่วงนี้มีการกะพริบแสงสว่างมาก
และจังหวะมืดนาน เพื่อเตือนภัยไม่ให้สิ่งมีชีวิตอื่นเข้าใกล้" น.ส.อัญชนาระบุ
สำหรับในส่วนของการเพาะเลี้ยงหิ่งห้อย ซึ่งเตรียมจดสิทธิบัตรนั้น น.ส.อัญชนา เผยว่า แม้ว่าหิ่งห้อยจะเป็นสัตว์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความยุ่งยากซับซ้อนในการเพาะเลี้ยง เนื่องจากมีวงจรชีวิตยาวนาน ตั้งแต่ระยะวางไข่ ตัวหนอน ดักแด้และตัวเต็มวัย แต่คณะวิจัยสามารถคิดค้นเทคนิคการเพาะเลี้ยงได้สำเร็จแล้ว โดยมีหลักการคือ จัดหาสภาพการเลี้ยง และชนิดอาหารที่เหมาะสมต่อหิ่งห้อยทั้งสี่ระยะ อย่างไรก็ดี ผลความสำเร็จจากการศึกษาครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจถึงชีววิทยา และพฤติกรรมอันจะนำไปสู่การอนุรักษ์หิ่งห้อยอย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้พัฒนาต่อยอดทางด้านการแพทย์ เนื่องจากในตำรายาโบราณพบว่า มีการนำมาใช้ในการรักษาโรคหอบหืดได้เป็นผลดี
น.ส.อัญชนา กล่าวอีกว่า ในต่างประเทศ เริ่มมีการศึกษาฤทธิ์ของสารชีวภาพในหิ่งห้อย สำหรับรักษาโรค แต่ยังถูกโจมตีจากนักอนุรักษ์ เพราะต้องจับหิ่งห้อยในธรรมชาติ ทั้งนี้ เมื่อเราสามารถเพาะเลี้ยงหิ่งห้อยได้ ก็เป็นผลดีในการจัดทำสวนหิ่งห้อยเพื่อส่งเสริมการศึกษา หรือการอนุรักษ์ โดยปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ และขณะนี้ได้มีประเทศรัสเซียและอเมริกา ติดต่อให้ไปเพาะเลี้ยง เพื่อจัดทำสวนจำลองหิ่งห้อย สำหรับการศึกษาของเยาวชนแล้ว และจะเตรียมนำไปจัดแสดง ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 8-22 สิงหาคมนี้ ที่ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา
สำหรับในส่วนของการเพาะเลี้ยงหิ่งห้อย ซึ่งเตรียมจดสิทธิบัตรนั้น น.ส.อัญชนา เผยว่า แม้ว่าหิ่งห้อยจะเป็นสัตว์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความยุ่งยากซับซ้อนในการเพาะเลี้ยง เนื่องจากมีวงจรชีวิตยาวนาน ตั้งแต่ระยะวางไข่ ตัวหนอน ดักแด้และตัวเต็มวัย แต่คณะวิจัยสามารถคิดค้นเทคนิคการเพาะเลี้ยงได้สำเร็จแล้ว โดยมีหลักการคือ จัดหาสภาพการเลี้ยง และชนิดอาหารที่เหมาะสมต่อหิ่งห้อยทั้งสี่ระยะ อย่างไรก็ดี ผลความสำเร็จจากการศึกษาครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจถึงชีววิทยา และพฤติกรรมอันจะนำไปสู่การอนุรักษ์หิ่งห้อยอย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้พัฒนาต่อยอดทางด้านการแพทย์ เนื่องจากในตำรายาโบราณพบว่า มีการนำมาใช้ในการรักษาโรคหอบหืดได้เป็นผลดี
น.ส.อัญชนา กล่าวอีกว่า ในต่างประเทศ เริ่มมีการศึกษาฤทธิ์ของสารชีวภาพในหิ่งห้อย สำหรับรักษาโรค แต่ยังถูกโจมตีจากนักอนุรักษ์ เพราะต้องจับหิ่งห้อยในธรรมชาติ ทั้งนี้ เมื่อเราสามารถเพาะเลี้ยงหิ่งห้อยได้ ก็เป็นผลดีในการจัดทำสวนหิ่งห้อยเพื่อส่งเสริมการศึกษา หรือการอนุรักษ์ โดยปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ และขณะนี้ได้มีประเทศรัสเซียและอเมริกา ติดต่อให้ไปเพาะเลี้ยง เพื่อจัดทำสวนจำลองหิ่งห้อย สำหรับการศึกษาของเยาวชนแล้ว และจะเตรียมนำไปจัดแสดง ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 8-22 สิงหาคมนี้ ที่ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา
หิ่งห้อยน้ำกร่อย
Pteroptyx valida – pteroptyx malaccae






หิ่งห้อยมะละกา
เป็นหิ่งห้อยชนิดที่พบได้ตามพื้นที่น้ำกร่อยและป่าชายเลน
ตัวเต็มวัยมีขนาดยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร
เพศผู้มีอวัยวะในการทำแสงอยู่ที่ปลายท้องสีเหลืองอ่อน 2 ปล้องส่วนเพศเมียมี 1 ปล้อง
การเลี้ยงในห้องปฏิบัตการใช้แอปเปิ้ลเป็นอาหารในระยะตัวเต็มวัย และหอยชนิด Assiminea sp. เป็นอาหารในระยะตัวหนอน วงจรชีวิตของหิ่งห้อยในห้องปฏิบัติการ
ใช้เวลาตลอดทั้งวงจรเฉลี่ย 123 วัน
ตัวเต็มวัยมีอายุเฉลี่ย 12 วัน ระยะไข่ หนอน
และดักแด้ใช้เวลา 12, 98 และ 10 ตามล้าดับ และเมื่อเป็นตัวเต็มวัยจะมีสัดส่วนเพศผู้ต่อเพศเมียเท่ากับ 4
: 1
หิ่งห้อยปีกพับวาลิดา
(Pteroptyx
valida Olivier) มีขนาดใหญ่กว่าหิ่งห้อยปีกพับมะละกา
เล็กน้อย มีความยาว 8-9 มิลลิเมตร ในเพศผู้ปลายปีกส่วนที่พับลงมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู
และมีอวัยวะทาแสงอยู่ด้านล่างของท้องปล้องที่ 6 และ 7 เพศเมียมีอวัยวะทาแสงอยู่ที่ ด้านล่างของ
ท้องปล้องที่ 6
หิ่งห้อยปีกพับพบได้ตลอดปี
แต่ปริมาณที่พบแตกต่างกันไปตามฤดูกาล ได้มีการศึกษาหา
ปริมาณของหิ่งห้อยปีกพับมาละกาในช่วงฤดูกาลต่างๆของปีบริเวณปากแม่น้
าท่าจีน จังหวัด
สมุทรสาคร พบว่าเดือนที่มีหิ่งห้อยมากที่สุดคือเดือนกันยายน
และมีหิ่งห้อยน้อยที่สุดคือเดือนเมษายน
สำหรับหิ่งห้อยที่คลองน้ำเชี่ยวยังไม่มีการศึกษาหาปริมาณที่พบในช่วงฤดูกาลต่างๆ
แต่สันนิษฐานว่า
คงเป็นไปตามที่ศึกษาที่จังหวัดสมุทรสาคร
หิ่งห้อยบก
Pyrocoelia praetexta Olivier


ตัวเต็มวัยเพศเมียของหิ่งห้อย
Pyrocoelia
praetexta Olivier สามารถวางไข่ได้โดยเฉลี่ย 151.30+-10.33 ฟอง ไข่มีสีเหลืองอ่อน มีระยะไข่โดยเฉลี่ย 2+-0.49 วัน
ตัวหนอนมี 5 วัย แต่ละวัยใช้เวลาเฉลี่ย 11.10+-2.55,
15.90+- 0.70, 22.30+-1.79, 51.20+-10.60 และ 75.70+-3.35 วัน ตามลำดับ ขนาดความยาวเฉลี่ยของหนอนแต่ละวัย คือ 5.80+-0.87,
12.50+-1.36, 20.30+-1.10, 25.40+-2.20 และ 32.60+-1.50 มิลลิเมตรตามลำดับ หนอนวัยที่ 4 และ 5 จะมีอวัยวะทำแสงอยู่บริเวณปลายท้องปล้องสุดท้าย
และมีแผ่นแข็งปล้องแรกยื่นคลุ่มส่วนหัวเห็นได้ชัดเจน บริเวณด้านข้าง
และด้านล่างของลำตัวมีแถบสีส้มอมแดง 2 แถบ
พาดตามความยาวของลำตัวตั้งแต่อกปล้องแรกจนถึงปลายท้องปล้องสุดท้าย
ดักแด้เป็นแบบเอกซาเรท มีสีเหลืองอ่อนอมชมพู ระยะดักแด้เฉลี่ย 6.40+-0.49 วัน ตัวเต็มวัยเพศเมียมีลักษณะคล้ายหนอน มีปีกลดรูปไม่สามารถบินได้
ลำตัวสีน้ำตาลแดงแผ่นแข็งปล้องแรกมีสีส้มอมแดง ความยาวลำตัวเฉลี่ย 30.80+-0.75 มิลลิเมตร อายุเฉลี่ย 28.60+-1.20 วัน
ตัวเต็มวัยเพศผู้มีปีกสีดำ ปิดปกคลุมลำตัวจนถึงส่วนปลายท้อง ขอบปีกสีเหลืองอ่อน
ลำตัวยาวเฉลี่ย 13.50+-0.67 มิลลิเมตร อายุเฉลี่ย 22.70+-0.64 วัน
การทราบรายละเอียดของหิ่งห้อยชนิดนี้เป็นแนวทางการจัดการเพาะเลี้ยงหิ่งห้อยให้ได้จำนวนมากและ
การกำจัดหอยโดยชีววิธี10 ill., 3 tables
นิทานหิ่งห้อยกับดวงดาว
|
|
นิทานเรื่องเล่า
: ตำนานรักอันยิ่งใหญ่...ของหิ่งห้อยและต้นลำพู

ณ
หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มชาวสวนผู้ขยันขันแข็งชื่อลำพู ได้ปลูกพืช ผัก
และต้นไม้ทั้งหลาย ไว้ในสวนของเขาอย่างมากมาย ทำให้สวนของลำพูมีแต่ความร่มรื่น
หิ่งห้อย คือสาวน้อยแสนสวยประจำหมู่บ้าน นางเป็นหญิงสาวที่อ่อนหวาน มีจิตใจอ่อนโยน และนางเป็นที่รักของชายหนุ่มลำพู.. ทุกๆเย็น สาวน้อยหิ่งห้อยจะมานั่งพลอดรักกับคู่รักของนาง ที่สวนของชายหนุ่มเป็นประจำ
ภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีลูกสาวที่ชื่อว่าโกงกาง โกงกางเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยว และบ้าบิ่น สิ่งใดที่นางต้องการ นางจะต้องหาทางเอามาให้ได้ ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะได้มาด้วยความยากลำบากสักเพียงใด
วันหนึ่งโกงกางได้เดินทางไปถึงสวนของชายหนุ่มลำพู นางชื่นชมในความร่มรื่นของสวนยิ่งนัก จึงได้สั่งให้คนรับใช้ไปตามเจ้าของสวนออกมาพบ แต่ทว่า พอนางได้พบหน้าหนุ่มลำพู นางก็หลงใหลในตัวของชายหนุ่มยิ่งนัก

โกงกางได้แต่พร่ำเพ้อหาหนุ่มลำพู
นางต้องการหนุ่มลำพูมาเป็นคู่ครองของนางให้ได้ โดยที่ไม่สนใจว่าหนุ่มลำพูมีคู่รักอยู่แล้วก็คือ
สาวหิ่งห้อย ลำพูอึดอัดใจเป็นยิ่งนัก
เพราะชายหนุ่มปฎิเสธความรักของสาวโกงกางอย่างไม่ใยดี สาวกิ่งก้านรุกหนัก ไม่ยอมแพ้
และนั่นทำให้หนุ่มลำพูตัดสินใจชวนคนรัก แม่สาวหิ่งห้อย หนีไปด้วยกัน
สาวหิ่งห้อยตอบตกลง คนรักทั้งคู่นัดกันในคืนเดือนแรมที่จะมาถึงนี้
บริเวณสวนของชายหนุ่ม
แต่นั่นไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของสาวโกงกาง เมื่อถึงคืนเดือนแรม ในเวลานัด สาวโกงกางก็คืออุปสรรคความรักของลำพู และหิ่งห้อย
ท่ามกลางฝนฟ้าคะนอง มีแต่เพียงชายหาปลาคนหนึ่งเท่านั้น ที่มองเห็นว่า สาวโกงกางยื้อยุด ฉุดกระชากหนุ่มลำพูไว้ และหลังจากนั้น ก็ไม่มีใครได้พบกับทั้ง 3 คนอีกเลย...
แต่นั่นไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของสาวโกงกาง เมื่อถึงคืนเดือนแรม ในเวลานัด สาวโกงกางก็คืออุปสรรคความรักของลำพู และหิ่งห้อย
ท่ามกลางฝนฟ้าคะนอง มีแต่เพียงชายหาปลาคนหนึ่งเท่านั้น ที่มองเห็นว่า สาวโกงกางยื้อยุด ฉุดกระชากหนุ่มลำพูไว้ และหลังจากนั้น ก็ไม่มีใครได้พบกับทั้ง 3 คนอีกเลย...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)